Translate

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คนไหนคือคนที่ใช่

ผู้หญิงคนหนึ่งมีปัญหาคั่งค้างในใจ เธอจึงตัดสินใจเข้าไปเรียนถามท่านพระอาจารย์
สีกา : พระอาจารย์เจ้าคะ อิฉันแต่งงานแล้ว แต่ตอนนี้อิฉันรักผู้ชายอีกคนหนึ่งคะ วันไหน หากอิฉันไม่ได้เห็นหน้าเขา อิฉันรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข อิฉันไม่รู้จะทำยังไงดีเจ้าคะ!
พระอาจารย์ : โยมมั่นใจไหมว่าชายคนนี้จะเป็นคนรักคนสุดท้ายของชีวิตโยม?
สีกา : มั่นใจคะ หัวใจของอิฉันตายด้านมาหลายปีแล้ว พอมาเจอเขา อิฉันไม่อยากพลาดคะ
พระอาจารย์ : ถ้างั้นโยมก็ขอหย่ากับสามีคนปัจจุบัน แล้วก็ไปแต่งกับชายคนใหม่
สีกา : แต่ชายคนรักในปัจจุบันเขาเป็นคนดีมาก เป็นคนขยันขันแข็ง รับผิดชอบต่อหน้าที่ หากอิฉันทำกับเขาอย่างนี้ มันจะโหดร้ายกับเขาเกินไปหรือเปล่าคะ? ดิฉันรู้สึกผิดเจ้าคะ!
พระอาจารย์: ชีวิตคู่ หากปราศจากความรักต่อกันต่างหากที่โหดร้าย ตอนนี้โยมก็มีรักใหม่ไม่ได้รักสามีของโยมแล้ว หากโยมหย่าขาดจากเขาแล้วไปแต่งงานใหม่มันก็สมควรแล้ว!
สีกา : แต่สามีของอิฉันรักอิฉันมากนะเจ้าคะ
พระอาจารย์ : ถ้าอย่างนั้น สามีของโยมก็เป็นคนโชคดีมากนะสิ!
สีกา : อิฉันจะหย่าขาดจากเขาแล้วไปอยู่กินกับคนใหม่ เขาควรจะเจ็บปวดมิใช่ดอกหรือเจ้าคะ จะโชคดีได้ยังไง!
พระอาจารย์ : ในชีวิตคู่ของโยมและเขา เขายังมีใจรักโยมอยู่ไม่เคยเปลี่ยน แต่โยมกลับสูญสิ้นรักเขา เพราะโยมไปรักคนอื่นแล้ว มีคำกล่าวว่า “ยังมี”คือโชคดี “สูญเสีย”คือโชคร้าย ดังนั้นคนที่เจ็บปวดคือโยมนั่นแหละ
สีกา : แต่อิฉันจะไปแต่งงานใหม่นะเจ้าคะ เขาต่างหากที่สูญเสียอิฉันไป เขานั่นแหละที่เจ็บปวด
พระอาจารย์ : โยมเข้าใจผิดแล้ว ฟังให้ดีนะ โยมเป็นเพียงอุปกรณ์ที่แสดงออกถึงรักจริงที่เขามีอยู่ เมื่ออุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่อยู่แล้ว รักจริงของเขายังคงดำรงอยู่ และจะมอบให้อุปกรณ์ชิ้นใหม่ที่เข้ามาในชีวิตเขาดังนั้น เขาจึงเป็นคนโชคดีและโยมคือคนที่โชคร้าย
สีกา : สามีของอิฉันเคยบอกอิฉันว่า ชาตินี้เขาจะรักเพียงอิฉันคนเดียว เขาจะไม่รักใครไหนอื่นอีก
พระอาจารย์ : คำพูดนี้ โยมก็เคยบอกเขาใช่ไหม?
สีกา : เอ่อ คือว่า อิฉัน..............
พระอาจารย์ : โยมลองหันไปดูเทียนสามเล่มที่จุดอยู่ที่กระถางสิ โยมคิดว่าเทียนเล่มไหนสว่างกว่ากัน?
สีกา : อิฉันไม่ทราบจริงๆเจ้าคะ ดูมันก็เหมือนๆกันคะ
พระอาจารย์ :เทียนสามเล่มนี้เปรียบไปก็เหมือนกับชายสามคน หนึ่งในสามเล่มนั้นเป็นชายคนรักใหม่ของโยมในปัจจุบันนี้ ผู้ชายมากมายในโลกนี้มีเป็นแสนล้านคน เทียนแค่สามเล่มโยมยังบอกไม่ได้ว่าเล่มใดสว่างกว่ากัน โยมหาชายคนปัจจุบันยังไม่ได้ แล้วโยมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะเป็นคนสุดท้ายในชีวิตของโยม?
สีกา : เอ่อ คือว่า อิฉัน..เอ่อ .........
พระอาจารย์ : โยมลองหยิบเทียนมาตรงหน้าสักหนึ่งเล่มสิ ตอนนี้บอกอาตมาสิว่าเล่มไหนสว่างที่สุด?
สีกา : เล่มที่อยู่ตรงหน้าของอิฉันตอนนี้เจ้าคะ
พระอาจารย์ : ตอนนี้โยมเอาไปวางไว้ที่เดิม แล้วลองพิจารณาดูสิว่าเล่มไหนสว่างที่สุด?
สีกา : อิฉันดูไม่ออกจริงๆเจ้าคะ ว่าเล่มไหนที่มันสว่างกว่ากัน
พระอาจารย์ : ความจริงก็คือ เทียนเล่มที่โยมถืออกมาเมื่อครู่นี้ก็คือชายคนที่โยมรักมากในปัจจุบัน เพราะรักเกิดจากใจ ในยามที่โยมรู้สึกรักเขา เขาจึงเป็นสิ่งที่สว่างที่สุดในชีวิตของโยม เมื่อโยมนำมันไปวางไว้ที่เดิม โยมจึงหาความสว่างที่สุดของเขาไม่เจอ ความรักที่โยมบอกว่า เขาจะเป็นคนรักคนสุดท้ายของโยม มันเป็นเพียงพระจันทร์บนผิวน้ำ เพราะสุดท้าย มันก็คือความว่างเปล่า
สีกา : อ่อ อิฉันเข้าใจแล้วเจ้าคะ ท่านอาจารย์ไม่ได้ต้องการให้อิฉันทิ้งสามีไปมีคนใหม่ ท่านกำลังชี้แนะอิฉันอยู่
พระอาจารย์ : เมื่อกระจ่างก็ดีแล้ว โยมจงกลับไปเถอะ
สีกา : ตอนนี้อิฉันเข้าใจแล้วเจ้าคะว่าอิฉันรักใคร เขาคือสามีของอิฉันในปัจจุบันนี้นี่เอง
พระอาจารย์ : อามิตาพุทธ ๆ

เครดิต: Mongkhonrata Sukhasvasdi

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558

วิธีแก้โรคเท้าเหม็นที่ต้นเหตุ ใช้แล้วได้ผลจริง


ในโลกนี้คนที่ประสบปัญหาในเรื่องของกลิ่นเท้าอยู่เยอะมาก  แต่เชื่อว่าเท้าของเราเกือบทุกคนจะต้องมีกลิ่นอยู่บ้างหล่ะ  แต่อยู่ที่ว่าใครจะมีกลิ่นมากน้อยเท่านั้นเอง  อย่าได้คิดว่าปัญหาเท้าเหม็นนี่เป็นเรื่องล้อเล่นนะค่ะ  เพราะมันเป็นปัญหาระดับโลกกันเลยทีเดียว เพราะมันได้ทำให้คนสูญเสียความมั่นใจ  และสูญเสียโอกาสดีดีในชีวิตมามากแล้ว
กลิ่นของกลิ่นเท้านั้นจะรุนแรงหรือไม่  ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง  และขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วยนะค่ะ  กลิ่นเท้านั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรียบริเวณเท้า  ไปทำปฏิกิริกับเหงื่อของเราค่ะ  ซึ่งเมื่อเท้าเราอยู่ในรองเท้า ก็จะอับทำให้เกิดเหงื่อได้ง่าย  ผลที่ตามมาคือกลิ่นนั่นเองค่ะ
บางคนอาจจะบอกว่าปัญหาเท้าเหม็นนั้นมันร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ  แอดมินพูดเว่อร์เกินไปมั๊ง !!  ที่จริงแล้วไม่ได้พูดเกินไปหรอกค่ะ  เพราะปัญหาเท้าเหม็นเนี่ย  ถ้ามันรุนแรงมากๆ เค้าจัดให้เป็นโรคเลยนะค่ะ  เค้าเรียกว่า “โรคเท้าเหม็น”  ซึ่งมีชื่อในภาษาอังกฤษคือ “Pitted Keratolysis” ซึ่งคนที่เป็นโรคเท้าเหม็นเนี่ย  เค้าจะมีกลิ่นเท้าที่รุนแรงมากๆ
อึ้ง โรคเท้าเหม็น รุนแรงกว่าที่คิด ! ดูวิธีแก้ที่ต้นเหตุ ใช้แล้วได้ผลจริง
บริเวณฝ่าเท้าจะมีรูเล็กๆ เต็มไปหมดเลยหล่ะค่ะ ผิวหนังตรงง่ามนิ้วเท้าจะเปื่อยลอกออกมา และเกิดเป็นแผลทำให้แสบมาก เมื่อถอดถุงเท้าก็จะทำได้ยาก ผิวหนังบริเวณฝ่าเท้าจะติดถุงเท้าออกมาด้วยเลยหล่ะค่ะ ซึ่งถ้าใครมีอาการรุนแรงมากๆ ก็ลองไปหาหมอดูนะค่ะ

อึ้ง โรคเท้าเหม็น รุนแรงกว่าที่คิด ! ดูวิธีแก้ที่ต้นเหตุ ใช้แล้วได้ผลจริง
หรือในขั้นต้นคุณอาจจะแก้ปัยหาด้วยตัวเองก่อนก็ได้ค่ะ ซึ่งเราก็มีวิธีแก้เท้าเหม็นที่ใครๆ หลายคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าใช้ได้ผล ซึ่งต่างคนก็ต่างวิธี วันนี้เราเลยเอาวิธีแก้เท้าเหม็นที่หลากหลายมาให้ท่านผู้อ่านได้เลือกใช้กันดูนะค่ะ
สาเหตุของการเกิดกลิ่นเท้า สามารถแบ่งออกเป็น 2 สาเหตุคือ 1.) เท้าของเรา 2.) ถุงเท้าและรองเท้า ซึ่งเราจะแยกวิธีแก้เท้าเหม็นออกเป็น 2 ส่วนนะค่ะ มาดูกันได้เลยค่ะ

1.) วิธีแก้เท้าเหม็นที่เท้าของเรา
เอาเท้าไปแช่ในน้ำยาบ้วนปาก
วิธีนี้อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่เอาเรื่องนิดนึงนะค่ะ เพราะเราจะใช้น้ำยาบ้วนปากค่ะ ซึ่งราคาก็ถือว่าแพงอยู่เหมือนกัน แต่เพื่อการต่อสู้กับกลิ่นเท้า เราก็ต้องยอม คือให้เราเอาน้ำยาบ้วนปากมาเทลงในกาละมังเล็กๆ พอที่เท้าทั้งสองข้างของเราใส่เข้าไปได้นั่นแหล่ะค่ะ แล้วเอาน้ำยาบ้วนปากซัก 2-3 ฝามาผสมกับน้ำเปล่า ผสมจนเข้ากันแล้วก็เอาเท้าของเราลงไปแช่ได้เลย แช่ไปเรื่อยๆ ซัก 30- 60 นาที ระหว่างนั้นคุณก็อ่านหนังสือ ดูทีวี แชตกับเพื่อนก็แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ สารฆ่าเชื่อแบคทีเรียที่อยู่ในน้ำยาบ้วนปาก จะจัดการกับแบคทีเรียที่เท้าของคุณให้เอง

ถุงชาเก่าช่วยได้
เมื่อคุณกินน้ำชาที่ชงจากถุงเล็กๆ เสร็จแล้วอย่าทิ้ง เพราะว่าเราจะนำมาใช้แก้กลิ่นเท้ากันค่ะ วิธีก็ให้คุณนำถุงชาที่ใช้แล้วเนี่ย มา 5 ถุง แล้วเอาลงแช่ลงในกาละมังน้ำอุ่น จากนั้นให้คุณเอาเท้าลงไปแช่ซัก 10 นาทีนะค่ะ ทำแบบนี้ประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ กลิ่นเท้าของคุณจะหายไปค่ะ เพราะความเป็นกรดด่างของถุงกาแฟนั้น จะช่วยกำจัดและยับยั้งแบคทีเรียให้หมดสิ้นไปนั่นเอง

เกลือกับมะนาวแก้เท้าเหม็น
วิธีนี้ให้คุณต้มน้ำให้เดือดแล้วเอาเกลือใส่ลงไป รอจนเกลือละลายแล้วค่อยเอามาเทลงในกาละมัง จากนั้นให้เติมน้ำเย็นลงไปให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้คุณร้อนจนเกินไป แล้วบีบน้ำมะนาวใส่ลงไปด้วย จากนั้นคุณก็เอาเท้าลงแช่ได้เลยค่ะ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีให้คุณเอาแปรงมาขัดเท้าของคุณระหว่างแช่ด้วยนะค่ะ ขัดทุกซอกเล็บให้สะอาด ให้ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 3 วัน กลิ่นเท้าของคุณจะค่อยๆ หายไปค่ะ

ใช้สารส้มมาขัดและแช่เท้าในสารส้ม
ให้คุณหาซื้อสารส้มผงมาละลายในน้ำอุ่น แล้วเอาเท้าลงไปแช่ ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 3 ครั้งจะช่วยให้กลิ่นเท้าหายได้ค่ะ หรือจะเอาสารส้มแบบเป็นก้อนเนี่ย มาขัดเท้าของเราตอนที่เราอาบน้ำทุกวันนะค่ะ เพียงเท่านี้ปัญหากลิ่นเท้าของคุณจะหายไปในไม่ช้าค่ะ

ขัดเท้าด้วยผงฟู (เบคกิ้งโซดา)
ผงฟูวัตถุดิบธรรมดาที่เราหาซื้อได้ตามร้านขายของชำทั่วไปเนี่ย สามารถช่วยแก้ปัญหากลิ่นเท้าของคุณได้ โดยให้นำเอาผงฟูเนี่ยมาละลายกับน้ำเปล่าให้มันข้นนิดนึง แล้วเอามาชโลมให้ทั่วเท้าของเราเลยนะค่ะ จากนั้นหาแปรงเล็กๆ หรือแปรงสีฟันเก่าๆ เนี่ย มาขัดทุกซอกทุกมุม ทั้งเท้าทั้งเล็บของเราจนทั่ว ทิ้งไว้ 3-5 นาทีแล้วล้างออก ซึ่งผงฟูจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดีค่ะ

ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อเดทตอล
ให้เอาเดทตอลที่เราหาซื้อได้ทั่วไปเนี่ย มาเทผสมกับน้ำเปล่าในกาละมัง ซึ่งให้ใช้เดทตอลซัก 2-3 ฝาก็พอ แล้วเอาเท้าลงไปแช่เลยนะค่ะ ถ้าจะให้ดีก็หาแปรงมาขัดทำความสะอาดเท้าเราด้วย ให้ทำแบบนี้ทุกวันก่อนนอน รับรองว่าปัญหาเรื่องกลิ่นเท้าของคุณจะหมดไป

รักษาเท้าให้แห้งและใช้แป้งโรย
ให้ดูแลรักษาเท้าไม่ให้เปียกหรืออับ ถ้าเท้าเปียกให้รีบหาอะไรมาเช็ดให้สะอาด และให้คุณหาแป้งโยคี ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป มาโรยบริเวณซอกเท้าของเรา โดยแป้งนี้ให้เราโรยก่อนใส่ถุงเท้าด้วยทุกวัน จะช่วยขจัดกลิ่นเท้าและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ค่ะ เมื่อใช้อย่างต่อเนื่องไปซักระยะหนึ่ง ปัญหาเรื่องของกลิ่นเท้าจะหมดไปค่ะ

ลดกลิ่นเท้าด้วยใบสะระแหน่
ให้คุณนำเอามาซัก 2-3 กำ มาต้มในน้ำซัก 7 ถ้วย เมื่อน้ำเดือดแล้วให้เอามาเทลงในกาละมัง รอจนน้ำหายร้อนจนอุ่นๆ แล้วก็เอาเท้าลงไปแช่ซัก 30 – 60 นาที ระหว่างนั้นก็ขัดถูทุกซอกของเท้าคุณเลยนะค่ะ กลิ่นเท้าของคุณจะหายไปและลดอาการส้นเท้าแตกที่กวนใจคุณอยู่อีกด้วย

หาซื้อสเปรย์ระงับกลิ่นเท้ามาช่วย
เพิ่มความมั่นใจของคุณด้วยการใช้สเปรย์ระงับกลิ่นเท้า ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปค่ะ ก็จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง โดยให้คุณพ่นสเปรย์ให้ทั่วเท้าก่อนใส่ถุงเท้า สารเคมีในน้ำยาจะช่วยยับยั้งแบคทีเรีย ก็จะช่วยระงับกลิ่นเท้าของคุณได้ในระดับหนึ่งค่ะ

ด่างทับทิมก็ช่วยได้
ให้หาซื้อด่างทับทิมมาผสมกับน้ำอุ่น แล้วเอาเท้าลงไปแช่ และขัดเท้าด้วย เท่านี้ก็จะช่วยขจัดและยับยั้งแบคทีเรียได้ค่ะ

2.) วิธีแก้เท้าเหม็นที่ถุงเท้าและรองเท้า
ถุงเท้าและรองเท้าต้องซักให้สะอาด
ก่อนจะซักถุงเท้าให้นำเอาไปแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อที่หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปซัก 15 – 20 นาที แล้วก็เอามาซักด้วยผงซักฟอก น้ำสุดท้ายอาจจะแช่น้ำยาปรับผ้านุ่มที่มีกลิ่นหอมก่อนก็ได้ แล้วพยายามเอาไปตากในที่ที่มีแดดจัดเลยนะค่ะ เพื่อให้รองเท้าได้แห้งอย่างสนิทยังไงหล่ะ การซักถุงเท้านั้นให้นำไปแช่น้ำร้อนซัก 20 นาที จากนั้นให้เอ่มาซักตามปกติ ซึ่งการแช่น้ำร้อนจะช่วยฆ่าแบคทีเรียและทำให้คราบสกปรกหลุดออกไปอย่างง่ายดายอีกด้วย

พื้นรองเท้าควรจะเปลี่ยนบ่อยๆ
สำหรับรองเท้าผ้าใบและรองเท้าหนัง จะมีพื้นรองเท้าอยู่ด้านใน ซึ่งเมื่อเราสวมใส่รองเท้าอยู่เป็นประจำเนี่ย แบคทีเรียมักจะไปสะสมอยู่ที่พื้นรองเท้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราจะเห็นคราบดำๆ บนพื้นรองเท้า ให้เราหาซื้อพื้นรองเท้ามาไว้เปลี่ยนหรือสำรองเอาไว้ ซึ่งเราสามารถหาซื้อได้ตามร้านรองเท้า หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป

เลือกรองเท้าให้เหมาะสม
ใครที่มีเหงื่อออกเท้าเยอะ พยายามหลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าหนังเทียมหรืแหนังผสม เพราะเมื่อเหงื่อเท้าออกมาแล้ว จะทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมาอย่างรุนแรง สามารถแก้ปัญหาด้วยการสวมรองเท้าหนังแท้ หรือรองเท้าพลาสติกแทนก็ได้นะค่ะ

หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าคู่เดิมๆ
เพราะหากเราสวมรองเท้าคู่เดิมทุกวันทุกเวลา จะทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี ยิ่งใส่ทุกวันอับอยู่อย่างนั้น ยังไงเท้าก็คงเหม็นแน่ๆ ให้มีรองเท้าไว้สำรองด้วย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันใส่คู่ละ 2 วัน คู่ที่ใส่แล้วก็พยายามเอาตากแดดหรือที่โล่งเข้าไว้นะค่ะ

อย่าสวมรองเท้าผ้าใบที่ชื้น
รองเท้าผ้าใบและรองเท้าหนังหุ้มส้นนั้น ถ้ามันเปียกชื้นอย่าสวมใส่เด็ดขาดนะค่ะ เพราะมันคือแหล่งของแบคทีเรียดีดีนี่เอง ถ้าคุณยังขืนใส่รองเท้าที่ชื้นอยู่ ยังไงเท้าคุณก็เหมือนแน่นอนค่ะ

วิธีแก้เท้าเหม็นที่เราอยากจะแนะนำก็มีเท่านี้ ก็คงจะเพียงพอที่จะช่วยขจัดปัญหาที่คุณกำลังประสบกันอยู่นะค่ะ ลองเอาแต่ละวิธีไปปฏิบัติกันดู บางวิธีอาจจะไม่เห็นผลได้ทันที ก็ลองดูผลซัก 1 สัปดาห์นะค่ะ แต่ถ้าอาการของคุณรุนแรงมาก ก็ลองไปพบแพทย์ดูนะค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่นะค่ะ ว่าโรคเท้าเหม็นนั้นเป็นโรคที่สามารถกลับมาเป็นอีกได้ ดังนั้นคุณจึงควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เมื่อหายแล้วก็อย่าทิ้งช่วงนานเกินไป ให้ปฏิบัติวิธีแก้เท้าเหม็นตามช่วงเวลาที่คุณว่างค่ะ

ขอบคุณที่มา http://www.tipsza.com และ dodeden.com
ขอบคุณรูปภาพ http://www.xn--42c8ao1akazf5c2be0gsk.com

โรคแพ้น้ำอสุจิ สาว ๆ ควรระวัง !



ปกติแล้วเรามักจะได้ยินแต่โรคแพ้สารเคมีหรือแพ้อากาศปกติกันใช่ไหมล่ะ แต่ต่อไปนี้สาว ๆ ควรระวังไว้ให้ดี เพราะตอนนี้มีสาว ๆ หลายคนเป็นโรคแปลกประหลาดที่คุณคาดไม่ถึง อย่างโรคแพ้น้ำอสุจิ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาเป็นกันมากถึง 20,000-40,000 คนเลยทีเดียว ฟังดูแล้วอาจจะชวนให้สงสัยใช่ไหมล่ะว่าเป็นยังไง ถ้าอยากรู้แล้วละก็ไปติดตามเรื่องราวของโรคประหลาดนี้กันเลยดีกว่าค่ะ             

          โรคแพ้อสุจิทำให้การมีเพศสัมพันธ์อาจกลายเป็นฝันร้ายของผู้หญิงได้ เพราะโรคนี้จะทำให้ผิวหนังเหมือนโดนเผาไหม้และมีอาการบวมแดง ซึ่งเรื่องราวนี้ก็เกิดขึ้นกับคู่รัก คลาร่า และ เจฟฟ์ (นามสมมติ) ที่ทางฝ่ายผู้หญิงเป็นโรคประหลาดแพ้น้ำอสุจิของฝ่ายชาย โดยทั้งคู่ได้ออกมาบอกเล่าเรื่องผ่านรายการ 
ABC's Good Morning America เพื่อให้ผู้คนรับรู้ถึงความทรมานของคนเป็นโรคนี้ 
            

           ทั้งนี้คลาร่ากล่าว่า ครั้งแรกที่เธอมีเพศสัมพันธ์กับสามี ก็เริ่มมีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอรู้สึกเหมือนผิวหนังไหม้ บวมพอง และแดงไปหมด แต่ในตอนแรกเธอคิดว่าเธอเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เฉย ๆ โดยอาการบวมพองที่ผิวนั้นเป็นนานถึง 
24 ชั่วโมงแล้วค่อย ๆ ยุบตัวลงและผิวหนังก็มีอาการแสบร้อนไปหมด
 จนในที่สุดคลาร่า และ เจฟฟ์ ก็ได้เข้าพบกับ โจนาธาน เบิร์นสไตน์ (Jonathan Bernstein) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาการแพ้และภูมิคุ้มกันจาก University of Cincinnati ซึ่งผู้เชี่ยวชาญรายนี้ก็บอกว่า การรักษานั้นต้องเก็บน้ำเชื้อของเจฟฟ์มาหาว่าโปรตีนตัวไหนในน้ำอสุจิที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และก็ฉีดภูมิคุ้มกันให้คลาร่า ซึ่งน้ำอสุจิจะถูกทำให้เจือจางและเก็บไว้ในหลอดฉีดยา 2 ชั่วโมงก่อนจะให้ทั้งคู่มีเพศสัมพันธ์กันภายใน 12 ชั่วโมง หลังจากได้รับการรักษาแล้ว คลาร่าบอกว่ามันได้ผล เพราะเธอมีอาการบวมน้อยลงเมื่อเทียบจากครั้งก่อน ๆ ที่ผ่านมา


         
อ่านข่าวอื่นๆได้ที่  www.tvpoolonline.com

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

วิธีทำให้ลูกฉลาด: ตั้งแต่ในครรภ์ถึงวัยคลาน

มีวิธีเสริมสร้างพัฒนาการและสมองของลูกน้อยมากมายที่คุณแม่มือใหม่ควรทราบ ลองมาดูวิธีต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ลูกน้อยของคุณเติบโตอย่างสมวัยและฉลาด ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ไปจนถึงกิจกรรมและเกมต่าง ๆ ที่คุณสามารถนำไปเล่นกับทารกได้


กระตุ้นสมองลูกน้อยตั้งแต่ในครรภ์
สมองของทารกจะเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็วระหว่างที่อยู่ในครรภ์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการดูแลครรภ์ตลอดระยะเวลา 9 เดือนจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง งานวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่าการดูแลรักษาสุขภาพ เช่นการหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเคมีอันตราย หรือการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ จะสามารถช่วยในการเจริญเติบโตของสมองของทารกได้เป็นอย่างดี

ผลการศึกษาระบุว่าอาหารเหล่านี้สามารถช่วยเสริมสร้างสมองของทารกได้:
  • กรดไขมันโอเมกา 3พบใน เมล็ดป่าน หรือน้ำมันเมล็ดป่าน และไข่บางชนิด (ลองมองหาฉลากโอเมก้า 3) โอเมก้า 3 เป็นสารอาหารที่ช่วยกระตุ้นสมองชั้นเลิศ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าทารกจะได้คะแนนในการทดสอบสมองสูงกว่าหากคุณแม่ได้กินโอเมก้า 3 ระหว่างตั้งครรภ์
  • โปรตีน: ระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณจะทำงานหนักเพื่อที่จะพยายามสร้างสมองของทารก ซึ่งเป็นกระบวนการที่จำเป็นต้องใช้โปรตีนสูง คุณสามารถกินอาหาร เช่น ขนมปังทาเนยถั่ว หรือ สมูทตี้โยเกิร์ต (น้ำตาลต่ำ) เพื่อช่วยเสริมโปรตีนได้
  • ธาตุเหล็ก: เป็นสารอาหารที่สำคัญที่จะช่วยลำเลียงออกซิเจนไปยังสมองของทารกในครรภ์ คุณจึงควรกินอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กเช่น ผักโขม เนื้อไก่ไม่ติดมัน และพืชจำพวกถั่ว แพทย์อาจแนะนำให้คุณกินธาตุเหล็กเสริมควบคู่ไปด้วย
  • สารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในอาหารเช่น บลูเบอร์รี่ มะละกอ ผักโขม อาร์ติโชค มะเขือเทศ ถั่วแดงจะช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองของทารก
หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการที่จะช่วยเสริมสร้างสมองของลูกน้อย คุณสามารถลองขอคำแนะนำจากแพทย์เพิ่มเติม


วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กแรกเกิด
คุณสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางสมองของลูกน้อยได้ตั้งแต่แรกเกิด สมองของทารกแรกเกิดจะมีขนาดประมาณ 25% ­ของสมองผู้ใหญ่ และจะเติบโตขึ้นเป็น 75% เมื่ออายุ 2 ขวบ ซึ่งถือเป็นพัฒนาการช่วงสำคัญของสมอง นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการกระตุ้นสมองจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเด็กในช่วงขวบวัยนี้

วิธีที่ดีที่สุดคือการให้ลูกได้ลองทำกิจกรรมหลากหลาย แต่คุณไม่จำเป็นต้องอัดกิจกรรมให้ลูกจนแน่น แค่ให้เขาได้ลองทำอะไรง่าย ๆ พื้น ๆ ที่เหมาะสมกับวัย อาทิ:
–          โมบายแขวน หรือ การ์ดรูปภาพ
–          ดนตรีเบา ๆ ฟังสบาย ๆ
–          นมแม่คือแหล่งอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกซึ่งช่วยในการพัฒนาสมอง มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งชี้ว่านมแม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับสติปัญญาของเด็ก
–          เข้าไปใกล้ ๆ เวลาพูดคุยกับเขาเพื่อให้เขาเห็นคุณชัดขึ้น
–          ทารกมักชอบให้คุณอยู่ใกล้ชิด พยายามกอด หอม สัมผัสเขาบ่อย ๆ หรือแม้แต่การใช้โทนเสียงต่าง ๆ กันเวลาอ่านนิทาน
–          จับลูกคว่ำวันละ 2-3 นาที เพื่อให้เขาได้ฝึกทักษะการเคลื่อนไหว ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมอง

วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กทารก
เมื่อลูกน้อยเริ่มโตขึ้น คุณสามารถลองให้เขาทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้มากขึ้น สมองของทารกจะพัฒนาเมื่อเขาได้เรียนรู้เสียงจากสิ่งของต่าง ๆ เช่นเสียงจากของเล่น หรือช้อนส้อม ฯลฯ การมองลูกบอลกลิ้งและพยายามจะจับลูกบอลก็ช่วยพัฒนาสมองเช่นกัน ลองปรับเปลี่ยนเวลาการเล่นและกิจกรรมต่าง ๆ ตามความเหมาะสม คุณอาจอยากลองกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้:
–          เปิดดนตรีหลาย ๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็นดนตรีคลาสสิกไปจนถึงเพลงร็อค แต่อย่าเปิดเพลงดังเกินไป
–          ลองให้ลูกได้สัมผัสพื้นผิว มองสีสัน และฟังเสียงต่าง ๆ พาเขาออกไปเดินเล่นนอกบ้าน เปลี่ยนของเล่น หนังสือ หรือแม้แต่สื่อโสตทัศน์ต่าง ๆ เพื่อให้เขาได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย
–          บล็อกตัวต่อเป็นของเล่นที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของสมองชั้นเยี่ยม
–          การดูแลใกล้ชิดก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาของเด็ก พยายามอยู่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุด ร้องเพลง คุยกับเขา กอดเขาบ่อย ๆ
อย่าลืมว่าแม้คุณอาจไม่สามารถซื้อของเล่นแพง ๆ ให้ลูก สิ่งสำคัญคือคุณควรใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากที่สุด เพราะนั่นคือปัจจัยที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อยที่สำคัญที่สุด

มีเซ็กซ์ 9 ท่าที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์

เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ คู่รักมักกังวลว่าการมีเซ็กซ์จะปลอดภัยสำหรับลูกในท้องหรือไม่ คุณหมอมักแนะนำให้งดกิจกรรมดังกล่าวในระยะเดือนแรก ๆ ของอายุครรภ์ แต่ในทางการแพทย์แล้วการมีเซ็กซ์นั้น มีผลดีมากมายกับแม่และสุขภาพการตั้งครรภ์


การตั้งครรภ์ไม่ใช่อุปสรรคของการมีเซ็กซ์
การมีเซ็กซ์โดยทั่วไปถือว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างความสุข เป็นการสนองความต้องการของร่างกายและจิตใจของคู่รัก เป็นการแสดงความรัก ความผูกพันวิธีหนึ่ง และอย่างที่รู้กันโดยทั่วไปคือ ช่วยเผาผลาญพลังงานได้อย่างดี ทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตคล้ายการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้น ยิ่งมีข้อดีหลายอย่างเพิ่มเติม เช่น ช่วยให้ผ่อนคลาย เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในช่วงอายุครรภ์ 4-6 เดือน จริง ๆ แล้วคู่รักสามารถทำกิจกรรมดังกล่าวได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ
การมีเซ็กซ์ในระหว่างที่ผู้หญิงตั้งครรภ์นั้นได้รับการสนับสนุนในทางการแพทย์ เมื่อสภาวะการตั้งครรภ์ของคุณปกติดี ในขณะที่ขนาดของครรภ์อาจเป็นอุปสรรคหรือทำให้คู่รักกังวลใจได้ การเลือกท่าของการมีเซ็กซ์จึงมีส่วนสำคัญเพื่อความปลอดภัย ความสุข และความพึงพอใจมากขึ้น ทั้งนี้ในแต่ละท่าก็ขึ้นอยู่กับสรีระ และความพึงพอใจของแต่ละบุคคลค่ะ
1. ท่าช้อน หรือ spooning เหมือนการนอนโอบกอดกันนั่นเอง โดยผู้หญิงหันหลังแนบกับแผ่นอกของผู้ชาย และการที่ผู้ชายอยู่ด้านหลัง ทำให้ลดความอึดอัดจากขนาดของครรภ์ และทำให้การเสียดสีและการสอดใส่จากด้านข้างหรือด้านหลังดีและลึกขึ้น ช่วยให้สบายและผ่อนคลายทั้งสองฝ่าย
2. ผู้หญิงอยู่ด้านบน หรือ Woman on Top โดยนั่งคร่อมลำตัวของผู้ชาย หรือนั่งคุกเข่า ใช้เข่าและขารับน้ำหนักตัว หรือใช้มือทั้งสองช่วย เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหว ดูเหมือนจะเป็นท่าที่ปลอดภัยที่สุดท่าหนึ่ง และเป็นท่าที่ขนาดของครรภ์ไม่เป็นอุปสรรคอย่างแน่นอน
3. ท่า Reversed Cowgirl เช่นเดียวกับท่าที่ผู้หญิงอยู่ด้านบน แต่ผู้หญิงหันหน้าไปทางปลายเท้าของผู้ชาย
4. ใช้เก้าอี้ช่วย โดยที่คุณนั่งบนเก้าอี้ และฝ่ายชายคุกเข่า ให้เก้าอี้ที่ใช้มีความสูงกว่าฝ่ายชายเพื่อตำแหน่งที่เหมาะสม และไม่เมื่อยเกินไป
5. ท่ากรรไกร หรือท่า Scissors ผู้เชี่ยวชาญแนะนำท่านี้ เนื่องจากคู่รักต้องกางขาออก ขนาดของครรภ์จึงไม่เป็นอุปสรรคเลย และทำให้การเคลื่อนไหวไม่รุนแรงเกินไป
6. ใช้หมอนช่วยเมื่อขนาดของครรภ์เป็นอุปสรรค การใช้หมอนหนุนหลังเมื่อทำท่านอนหงายธรรมดาช่วยได้อย่างดีที่เดียวค่ะ
7. ใช้ขอบเตียงหรือมุมเตียงนอนช่วย โดยที่ฝ่ายชายคุกเข่าหรือยืนที่พื้น ผู้หญิงนอนหงายบนเตียง
8. ผู้หญิงคุกเข่าบนที่นอนหรือเก้าอี้โซฟา โดยที่แขนและศรีษะอยู่บนที่นอน หรือท้องพักตรงพนักพิงของเก้าอี้โซฟาโดยมือจับขอบเก้าอี้โซฟาไว้ ใช้แขนและมือช่วยรับน้ำหนัก ผู้ชายคุกเข่าหรือยืนที่พื้นอยู่ด้านหลังเช่นกัน
9. ท่า Policeman หรือท่าที่ผู้หญิงยืนหันหน้าเข้าฝาผนัง ใช้มือยันรับน้ำหนักกับผนัง โดยผู้ชายยืนอยู่ด้านหลัง

การร่วมรักหลังคลอดแล้ว ควรระวังเนื่องจากระดับฮอร์โมนคุณผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และร่างกายก็ต้องการการฟื้นฟูและการพักผ่อน รวมทั้งการที่ต้องให้นมลูก คุณหมอส่วนใหญ่จึงแนะนำให้รอประมาณ 6 สัปดาห์หลังคลอด ที่สำคัญอีกอย่างคืออย่าลืมป้องกันถ้าคุณวางแผนที่จะทิ้งระยะเวลาห่างการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป