อย่าพูดว่า
"เมียผมไม่ได้ทำงานอะไร"
บทสนทนาระหว่างสามีคนหนึ่ง(ส)
กับนักจิตวิทยา(จ):
จ: คุณทำอาชีพอะไรครับ?
ส: ผมทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งครับ
จ: แล้วภรรยาคุณล่ะ?
ส: เธอไม่ได้ทำงานครับ เป็นเพียงแม่บ้าน
จ: ใครเป็นคนทำอาหารเช้าให้คนในครอบครัวครับ?
ส: ภรรยาผม,เพราะว่า เธอไม่ได้ทำงานอะไร
จ: ภรรยาคุณตื่นเช้าเวลาไหน เพื่อทำกับข้าว?
ส: ราวๆตี 5 เพราะเธอต้องทำความสะอาดบ้าน ก่อนทำกับข้าวครับ
จ: แล้วเด็กๆ ไปรร.กันยังไงครับ?
ส: ภรรยาผมพาไป,เพราะเธอไม่ได้ทำงานอะไร
จ: หลังจากส่งลูกๆไปรร.แล้ว เธอทำอะไรครับ?
ส: เธอก็ไปตลาด แล้วก็กลับบ้านเพื่อทำครัวและรีดผ้า หมอก็รู้แล้วนี่ ว่า เธอไม่ได้ทำงานอะไร
จ: ตอนเย็นหลังจากเลิกงานกลับบ้าน คุณทำอะไรหรือ?
ส: พักผ่อนครับ เพราะผมเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน
จ: แล้วภรรยาคุณทำอะไรล่ะ?
ส: เธอทำครัว เสิร์ฟอาหารให่ลูกๆและผม ล้างจาน ถูบ้าน แล้วก็พาเด็กๆเข้านอน
จากเรื่องข้างบนนี้ คุณคิดว่าใครทำงานมากกว่ากัน???
กิจวัตรประจำวันของภรรยาคุณ
เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ ไปจน ดึก นี่หรือที่เรียกว่า ' ไม่ได้ทำงานอะไร ' ??!!
ใช่ การเป็นแม่บ้าน ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาใดๆ หรือ มีตำแหน่งสูงๆ แต่ บทบาทของพวกเธอ สำคัญมาก!
โปรดชื่นชมภรรยาของคุณ
เพราะความเสียสละของเธอนั้น ประมาณค่ามิได้
นี่ควรเป็นข้อเตือนใจและสะท้อนให้เราได้เข้าใจและซาบซึ้งถึงบทบาทของกันและกัน
เกี่ยวกับผู้หญิง....
* เมื่อเธอเงียบ เรื่องต่างๆมากมาย โลดแล่นอยู่ในความคิด ของเธอ
* เมื่อเธอจ้องมองคุณ เธอแปลกใจว่า ทำไมเธอถึงรักคุณมาก ทั้งๆที่เป็นฝ่ายถูกมองเหมือนว่า ไร้ค่า
* เมื่อเธอพูดว่า ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณ เธอจะอยู่เคียงข้างคุณ ดุจหินผาศิลาแกร่ง
โปรด อย่าทำร้ายจิตใจเธอ
อย่าเข้าใจเธอผิดไป
หรือมองว่าเธอไร้ค่า
แด่ ภรรยาสุดที่รัก และ แม่ของเรา
Translate
วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557
น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว”เช็ดตัวลดไข้ให้เด็ก ได้ผลดี ไข้ลงเร็วขึ้น
น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว เช็ดตัวลดไข้ให้เด็ก ได้ผลดี ไข้ลงเร็วขึ้น
โดยเป็นผลงานการศึกษาวิจัยของนางสาวชลิดา ภาวนาเกษมศานต์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ประจำโรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ เรื่อง "ประสิทธิผลของการใช้น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวในการเช็ดตัวลดไข้ในผู้ป่วยเด็กที่รักษาในโรงพยาบาลนครพิงค์" ปรากฎว่าสามารถลดไข้ได้ดีกว่าการใช้น้ำอุ่นธรรมดาเช็ดตัว ใช้เป็นทางเลือกในการให้การพยาบาลเพื่อลดไข้ในผู้ป่วยเด็กและกลุ่มอายุอื่นๆ ได้ เนื่องจากมะนาวเป็นสมุนไพรที่หาง่าย ราคาถูก
โดยเป็นผลงานการศึกษาวิจัยของนางสาวชลิดา ภาวนาเกษมศานต์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ประจำโรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ เรื่อง "ประสิทธิผลของการใช้น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวในการเช็ดตัวลดไข้ในผู้ป่วยเด็กที่รักษาในโรงพยาบาลนครพิงค์" ปรากฎว่าสามารถลดไข้ได้ดีกว่าการใช้น้ำอุ่นธรรมดาเช็ดตัว ใช้เป็นทางเลือกในการให้การพยาบาลเพื่อลดไข้ในผู้ป่วยเด็กและกลุ่มอายุอื่นๆ ได้ เนื่องจากมะนาวเป็นสมุนไพรที่หาง่าย ราคาถูก
นางสาวชลิดากล่าวว่า ในปี 2556 มีผู้ป่วยเด็กเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนครพิงค์จำนวน 782 ราย ในจำนวนนี้ 2 รายมีอาการชักเนื่องจากมีไข้สูง ทำให้ผู้ปกครองที่ดูแลผู้ป่วยมีความวิตกกังวล โดยขณะผู้ป่วยมีไข้ขึ้นสูง ผู้ปกครองบางรายไม่ให้ความร่วมมือ เนื่องจากให้เหตุผลว่า การเช็ดตัวใช้เวลานาน หลังเช็ดแล้วไข้ลดลง และกลับสูงขึ้นในเวลาไม่นาน ผู้วิจัยจึงสนใจทำการศึกษาการใช้น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวมาใช้เช็ดตัวลดไข้ โดยศึกษากลุ่มผู้ป่วยเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่มีไข้สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียสจำนวน 60 ราย ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2557 - 7 กรกฎาคม 2557 โดยใช้วิธีการเช็ดตัวแบบผสมผสานระหว่างการเช็ดตัวและห่อพันตัว เป็นเวลานาน 15 นาที และวัดไข้ซ้ำหลังเช็ดตัวแล้ว 15 นาที เปรียบเทียบกับเด็กที่ใช้วิธีเช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุ่นอย่างเดียว
ผลการศึกษาวิจัยพบว่า การเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวให้ผลต่อการลดไข้ได้ อุณหภูมิร่างกายลดลงกว่าเดิมเฉลี่ย 1.2 องศาเซลเซียส เช่นหากมีไข้ 38.5 องศาเซลเซียส หลังเช็ดด้วยวิธีนี้ไข้ลดลงเหลือ 37.3 องศาเซลเซียส ในขณะที่เด็กที่เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุ่นธรรมดาทั่วไป ลดอุณหภูมิได้เฉลี่ย 0.67 องศาเซลเซียสเท่านั้น ชี้ให้เห็นว่าการใช้น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวเช็ดตัวลดไข้ ให้ผลในการลดอุณหภูมิร่างกายได้ดีกว่าการใช้น้ำอุ่นอย่างเดียว ประมาณ 2 เท่าตัว
นางสาวชลิดากล่าวต่อว่า ผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยทดสอบการใช้มะนาว ซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของไทย หาได้ง่ายในครัวเรือน ครั้งนี้ สามารถนำไปเผยแพร่ประชาชนทั่วไปเพื่อประยุกต์ใช้กับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในครอบครัว เพื่อดูแลบุคคลในครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อเด็กเล็กมีไข้ เพื่อป้องกันการเกิดอาการชัก ซึ่งอาจกระทบต่อสมองของเด็ก และในอนาคตจะมีอาการชักทุกครั้งเมื่อมีไข้สูง และอาจมีผลต่อพัฒนาการ และสติปัญญาการเรียนรู้ของเด็ก การใช้น้ำมะนาวผสมในน้ำอุ่นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเช็ดตัวลดไข้ในผู้ป่วยเด็ก และยังเป็นทางเลือกในการให้การพยาบาล เพื่อลดไข้ในผู้ป่วยเด็กกลุ่มอื่นๆ โดยผู้วิจัยจะศึกษาต่อยอดความรู้ โดยศึกการเลือกใช้ผลมะนาวผิวสีเหลืองกับสีเขียว และการศึกษาระยะเวลาที่ไข้ลด ว่าช่วยลดไข้ได้นานเท่าใด เพื่อให้การเช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวมีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อไป
ทั้งนี้ มะนาวที่นำมาศึกษาครั้งนี้เป็นมะนาวพันธุ์แป้นเขียวที่มีในท้องตลาดทั่วไป การผสมจะใช้มะนาว 1 ผล ต่อน้ำอุ่นอุณหภูมิ 38 องศาเซลเซียส ปริมาณ 2,000 ซี.ซี. การผ่ามะนาวต้องผ่าใต้น้ำและบีบใต้น้ำ เพื่อให้ได้น้ำมันจากผิวด้วย ซึ่งกลิ่นของน้ำมันผิวมะนาว จัดเป็นอโรมา เทอราปี เพิ่มการไหลเวียนเลือดดีขึ้น จะช่วยให้ผู้ป่วยสุขสบายด้วย โดยจากการติดตามผลการศึกษาในต่างประเทศพบว่าน้ำมันผิวมะนาว นำมาผสมน้ำและพันเท้าและขาเด็ก สามารถลดไข้ได้
ขอบคุณรูปจาก www.siam1.net
ที่มา : Smart SME
วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557
′นอนน้อย′ ทำสมองฝ่อ จริงหรือ?!
นอนน้อยทำสมองฝ่อ?
วารสารสถาบันประสาทวิทยาอเมริกันตีพิมพ์ผลการศึกษาระบุว่า ปัญหาการนอนไม่หลับเชื่อมโยงสัมพันธ์กับการเกิดอาการสมองฝ่อ หรือปริมาณเนื้อสมองลดน้อยลง หลังทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ วิจัยพบการเชื่อมโยงกันดังกล่าว
กลุ่มวิจัยทดลองโดยนำกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่ 147 คน อายุ 20 ปี และ 84 ปี มาเข้ารับการตรวจสมองผ่านเครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอ 2 ครั้ง ซึ่งการสแกนสมองแต่ละครั้งจะมีความห่างเฉลี่ย 3.5 ปี
จากนั้นนักวิจัยได้ให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการนอน เช่น นอนนานเท่าไร, ใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะนอนหลับ, หรือจำเป็นต้องใช้ยาช่วยให้นอนหลับหรือไม่
หลังกระบวนการค้นคว้าพบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 35 จากจำนวนทั้งหมดมีคุณภาพการนอนหลับย่ำแย่ และยังพบอีกว่า บุคคลที่มีปัญหาการนอนไม่หลับ มีขนาดสมองหดเล็กลงเป็นวงกว้างในหลายส่วน เช่น สมองบริเวณหน้าผาก, สมองบริเวณขมับ, หรือเนื้อสมองตรงผนังหุ้ม ซึ่งกรณีเช่นนี้เห็นได้ชัดในคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม แคลร์ อี. แซ็กตัน จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ผู้เขียนรายงานชิ้นนี้ กล่าวว่า ยังไม่แน่ชัดว่าคุณภาพของการนอนหลับ เป็นสาเหตุ หรือเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมองกันแน่ ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาต่อเนื่องต่อไปในอนาคต เพราะหากการศึกษาในอนาคตชี้ว่าการปรับปรุงคุณภาพการนอนช่วยลดความเสี่ยงอาการสมองฝ่อ
ดังนั้น การแก้ไขพฤติกรรมการนอนซึ่งมีวิธีรักษาอยู่หลายหนทางก็อาจเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยรักษาสุขภาพของสมองได้นั่นเอง
วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ทดลองมาแล้ว ใช้ใบตองปิดแผลหายเร็วกว่าใช้ผ้าก็อซเคลือบวาสลิน80%
เมื่อวันที่ 11 กันยายน ในการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2557 ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จ.เชียงใหม่ มีการนำเสนอผลงานวิชาการและโปสเตอร์นวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่น่าสนใจอาทิ การศึกษาการรักษาแผลด้วยใบตองอ่อน
นางไอยริษา เสาร์ศิริ พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ ประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.)อีเซ อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า การศึกษาดังกล่าว เป็นการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาไทยในท้องถิ่น ในระบบบริการประชาชนและประสบผลสำเร็จ ได้ผลดี สร้างความพึงพอใจ ช่วยลดอาการเจ็บปวดของผู้ป่วยขณะทำแผลได้เป็นอย่างดี ที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอีเซ มีผู้ป่วยไปรับบริการทำแผล 12-25 ราย โดยเป็นบาดแผลเปิด แผลถลอกร้อยละ 40 แผลถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ร้อยละ 20 แผลเปื่อยติดเชื้อร้อยละ 25 แผลที่สร้างความเจ็บปวดให้ผู้ป่วยมากที่สุดคือ บาดแผลถลอก และแผลถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก เนื่องจากเมื่อปิดผ้าก็อซเคลือบวาสลินบนแผลแล้ว แผลจะแห้งและลอกหลุดยาก ต้องใช้น้ำเกลือล้างแผลช่วยละลายสิ่งคัดหลั่งบนแผลให้ชุ่ม จึงจะลอกผ้าก็อสออกได้ ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวด กลัวการทำแผล
นางไอยริษา กล่าวว่า จากปัญหาที่ผ่านมาจึงได้ศึกษาภูมิปัญญาวิถีชาวบ้านด้านการดูแลบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกและแผลถลอก โดยใช้ใบตองกล้วยใบอ่อนที่ยังไม่คลี่ใบ มาใช้ปิดบาดแผลแทนการใช้ผ้าก็อซเคลือบวาสลิน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดูแลให้แผลหายเร็วที่สุด ลดความเจ็บปวดขณะทำแผล จากการศึกษาการใช้ใบตองอ่อนปิดแผลให้ผู้ป่วยที่มีบาดแผลถลอก แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก 20 ราย พบว่าบาดแผลที่ปิดด้วยใบตอง เนื้อเยื่อมีการสมานกับได้ดี และใบตองอ่อนไม่ติดกับบาดแผล จึงมีผลทำให้แผลหายเร็วกว่าแผลที่ปิดด้วยผ้าก๊อซเคลือบวาสลินประมาณร้อยละ 80 โดยบาดแผลถลอกไม่ลึกที่ใช้ใบตองปิด จะใช้เวลาหายประมาณ 7 วัน หากใช้ผ้าก็อซเคลือบวาสลินปิด จะใช้เวลา 12-14 วัน ส่วนบาดแผลถลอกหรือแผลไฟไหม้ที่มีขนาดลึก การปิดแผลด้วยใบตองอ่อน จะหายประมาณ 2 สัปดาห์ ส่วนแผลที่ใช้ผ้าก็อซเคลือบวาสลินปิด จะหายประมาณ 3-4 สัปดาห์ สร้างความพึงพอใจผู้ป่วยสูงถึงร้อยละ 98
นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอวิธีบำบัดโรคลมตะกังหรือ โรคปวดศีรษะไมเกรน โดย นายอิทธิพล ตาอุด แพทย์แผนไทย ประจำโรงพยาบาลราษีไศล จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า โรคไมเกรน จัดเป็นโรคทางระบบประสาทที่แฝงมากับความเครียดและพบได้บ่อย มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก เนื่องจากผู้ป่วยจะมีความทุกข์ทรมานปวดศีรษะเป็นๆ หายๆ จะมีอาการปวดตึง ร้าวไปที่บริเวณกล้ามเนื้อรอบๆกะโหลกศีรษะ หน่วงที่บริเวณขมับ และมีอาการอื่นร่วมด้วย ได้แก่ ตามัว มองเห็นภาพซ้อน อาการปวดมีความรุนแรงแตกต่างกัน ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาวิธีการบำบัดรักษาผู้ป่วยไมเกรนด้วยการนวดไทยสายราชสำนักร่วมกับการประคบสมุนไพร เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยไมเกรน
นายอิทธิพลกล่าวว่า สำหรับการศึกษาในผู้ป่วยโรคไมเกรนที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาและไปรับบริการที่โรงพยาบาลราษีไศล จ.ศรีสะเกษ 30 คน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2556 - เดือนเมษายน 2557 โดยใช้วิธีการนวดไทยสายราชสำนักและประคบลูกประคบสมุนไพรตาม ใช้เวลาเพียง 45 นาทีต่อครั้ง แบ่งเป็นนวด 30 นาที และประคบสมุนไพรอีก 15 นาที ทำ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ วันเว้นวัน จากการประเมินผลพบว่าได้ผลดี อาการปวดทุเลาขึ้น ก่อนนวดผู้ป่วยมีค่าเฉลี่ยความเจ็บปวดอยู่ที่ 6.07 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน แต่หลังจากนวดในครั้งที่ 3 ค่าเฉลี่ยความเจ็บปวดลดลงเหลือ 3.63 คะแนน ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น อาการปวดศีรษะลดลงมาก ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557
7 ประโยชน์จากน้ำอัดลมที่คุณไม่เคยรู้!!!
แม้คุณจะเคยได้ยินมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าน้ำอัดลมนั้นมีแต่โทษและไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆเลยแม้แต่น้อยวันนี้เราขอปฏิเสธอย่างหนักแน่นด้วยเสียงแข็งๆเลยว่า น้ำอัดลมนั้นยังมีข้อดีอีกหลายๆ อย่างที่คุณอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน ซึ่งข้อดีที่ว่ามานี้จะเกี่ยวกับอะไรบ้างนั้น วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำอัดลมมาฝากกัน ซึ่งรับรองได้เลยว่า ต้องมีหลายๆ ข้อที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กันได้อย่างแน่นอน
1. ช่วยทำความสะอาดไขมันบนเสื้อผ้า
หากชุดเดรสสวยๆ หรือ กระโปรงทำงานตัวโปรดของคุณต้องเปื้อนคราบมันหรือตะกรันต่างๆลองผสมผงซักฟอกเข้ากับน้ำอัดลม1กระป๋อง แล้วซักด้วยเครื่องซักผ้าตามปกติ น้ำอัดลมจะช่วยสลายคราบมันและตระกรันบนชุดสวยๆ ให้คุณได้แน่นอน ที่สำคัญอย่าลืมใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มให้อีกรอบนะคะ เสื้อผ้าของคุณจะได้มีกลิ่นหอมๆ แทนกลิ่นซ่าๆ ไปในคราวเดียวค่ะ
2. ช่วยทำความสะอาดสุขภัณฑ์ห้องน้ำ
แค่คุณใช้น้ำอัดลมสูตรปราศจากน้ำตาลเทไว้ให้ทั่วพื้นห้องน้ำและสุขภัณฑ์ทิ้งไว้ประมาณ1ชั่วโมงหลังจากนั้นใช้แปรงขัดห้องน้ำขัดถูแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง แค่นี้ห้องและสุขภัณฑ์ของคุณก็จะสะอาดใสกิ๊งเลยล่ะ
แค่คุณใช้น้ำอัดลมสูตรปราศจากน้ำตาลเทไว้ให้ทั่วพื้นห้องน้ำและสุขภัณฑ์ทิ้งไว้ประมาณ1ชั่วโมงหลังจากนั้นใช้แปรงขัดห้องน้ำขัดถูแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง แค่นี้ห้องและสุขภัณฑ์ของคุณก็จะสะอาดใสกิ๊งเลยล่ะ
3. ขจัดคราบสนิม
หากชุดกันชนโครเมี่ยมของคุณเกิดเป็นจุดสนิมขึ้นมาเมื่อไรอย่าปล่อยให้มัยลุกลามไปได้รีบใช้อะลูมินั่มฟรอยด์ชุบน้ำอัดลมและขัดเบาๆตรงจุดที่เป็นสนิมรับรองได้เลยว่าคราบจะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย
หากชุดกันชนโครเมี่ยมของคุณเกิดเป็นจุดสนิมขึ้นมาเมื่อไรอย่าปล่อยให้มัยลุกลามไปได้รีบใช้อะลูมินั่มฟรอยด์ชุบน้ำอัดลมและขัดเบาๆตรงจุดที่เป็นสนิมรับรองได้เลยว่าคราบจะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย
4. ช่วยคลายน็อตที่ขึ้นสนิมจนไขไม่ออก
ถ้าคุณต้องการจะไขน็อตออกจากชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆแต่น็อตตัวนั้นเต็มไปด้วยสนิมเขรอะให้คุณใช้ผ้าชุบน้ำอัดลมให้ชุ่มแล้วประคบน็อตตัวนั้นไว้สักครู่น้ำอัดลมจะช่วยกัดกร่อนสนิมบริเวณนั้นให้ไขน็อตออกได้อย่างง่ายดาย
ถ้าคุณต้องการจะไขน็อตออกจากชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆแต่น็อตตัวนั้นเต็มไปด้วยสนิมเขรอะให้คุณใช้ผ้าชุบน้ำอัดลมให้ชุ่มแล้วประคบน็อตตัวนั้นไว้สักครู่น้ำอัดลมจะช่วยกัดกร่อนสนิมบริเวณนั้นให้ไขน็อตออกได้อย่างง่ายดาย
5. ช่วยเปิดจุกฝาขวด
ถ้าหากจุกฝาขวดของคุณมันแน่นเกินไปจนเปิดไม่ออกให้คุณใช้ผ้าชุดน้ำอัดลมประคบไว้สักครู่หนึ่งน้ำอัดลมจะช่วยทำให้ฝาขวดคลายตัวและเปิดออกได้ง่ายยิ่งขึ้น
ถ้าหากจุกฝาขวดของคุณมันแน่นเกินไปจนเปิดไม่ออกให้คุณใช้ผ้าชุดน้ำอัดลมประคบไว้สักครู่หนึ่งน้ำอัดลมจะช่วยทำให้ฝาขวดคลายตัวและเปิดออกได้ง่ายยิ่งขึ้น
6. เพิ่มรสชาติให้กับแฮม
หากคุณอยากให้การทอดแฮมนั้นอร่อยยิ่งขึ้นลองเทน้ำอัดลมลงในกระทะแทนน้ำมันแล้วห่อแฮมด้วยฟรอยด์ใส่ลงในกระทะต้มในน้ำอัดลมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วจึงเอาฟรอยด์ออกเพื่อให้แฮมได้คลุกเคล้ากับน้ำอัดลมที่ยังเหลืออยู่ในกระทะ รับรองได้เลยว่าแฮมของคุณจะมีรสชาติที่อร่อยยิ่งขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
หากคุณอยากให้การทอดแฮมนั้นอร่อยยิ่งขึ้นลองเทน้ำอัดลมลงในกระทะแทนน้ำมันแล้วห่อแฮมด้วยฟรอยด์ใส่ลงในกระทะต้มในน้ำอัดลมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วจึงเอาฟรอยด์ออกเพื่อให้แฮมได้คลุกเคล้ากับน้ำอัดลมที่ยังเหลืออยู่ในกระทะ รับรองได้เลยว่าแฮมของคุณจะมีรสชาติที่อร่อยยิ่งขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
7. ทำความสะอาด.....รถบรรทุก
ทราบกันไหมว่าน้ำอัดลมนั้นถูกใช้ในการทำความสะอาดรถบรรทุกมาเป็นระยะเวลากว่า20ปีแล้วก่อนที่เด็กวัยรุ่นบางคนจะรู้จักกับน้ำอัดลมเสียอีก!!!
ทราบกันไหมว่าน้ำอัดลมนั้นถูกใช้ในการทำความสะอาดรถบรรทุกมาเป็นระยะเวลากว่า20ปีแล้วก่อนที่เด็กวัยรุ่นบางคนจะรู้จักกับน้ำอัดลมเสียอีก!!!
เห็นหรือยังว่า น้ำอัดลมนั้นมีประโยชน์อีกมากมายที่คุณไม่เคยรู้เลย
แต่ที่น่าสังเกตก็คือ ยังไม่พบประโยชน์ต่อร่างกายของเราเลยสักข้อหนึ่ง ฉะนั้นแล้วคุณควรจะทานต่อไปหรือใช้เพื่อประโยชน์ตามที่เราแนะนำมา...?!?
วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557
พ่อแม่รังแกฉัน
เชื่อว่าพ่อแม่หลายคนในปัจจุบันรักลูกมาก ตามใจลูกทุกอย่าง ไม่ว่าลูกจะขออะไรให้หมดทุกสิ่ง ทำผิดก็ไม่ลงโทษ แถมไปโรงเรียนทำผิดคุณครูทำโทษก็โทรต่อว่าคุณครูอีกT_T เมื่อหลายครอบครัวเลี้ยงลูกแบบผิดๆ วันนี้ทีมงาน sanook! campus เลยขอแบ่งปันข้อคิดดีๆ จากท่าน ว.วชิรเมธี ให้คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ได้อ่านกัน ^^
1. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการรักเขามากเกินไป ผลก็คือเกิดภาวะรักจนหลง ลูกของตนถูกทุกอย่าง ลูกของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ อันส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนมีอัตตาสูง เชื่อมั่นตนเองในทางที่ผิด ชอบดูถูกคน เป็นตัวปัญหา แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนสร้างปัญหา
2. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการตามใจเขามากเกินไป ผลก็คือพ่อแม่กลายเป็นข้าช่วงใช้ของลูก ส่วนลูกกลายเป็น "ลูกบังเกิดเกล้า" ที่พ่อแม่ต้องยอมให้เขาทุกอย่าง ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมตามที่ลูกต้องการลูกบางคนก็ถึงขั้นทุบตีทำร้ายพ่อแม่
3. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่กล้าห้ามปรามสั่งสอนเมื่อลูกทำผิด ทำเลว ทำบาป ผลก็คือ ลูกสูญเสียสามัญสำนึก แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่เป็น มองไม่เห็นเส้นแบ่งทางจริยธรรมว่า ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร จึงกลายเป็นนักเลงอันธพาล ระรานคนเขาไปทั่ว
4. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการให้เงินลูกเพียงอย่างเดียว ผลก็คือ ลูกไม่รู้จักคุณค่าของเงิน ไม่เห็นคุณค่าของผู้ที่หา และให้เงิน ยิ่งได้เงินมาก ยิ่งผลาญเงินเก่ง มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ และทั้งๆที่ใช้จ่ายเงินสูง แต่กลับมีคุณภาพชีวิตต่ำ
5. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง เกรงว่าหากให้ลูกทำอะไรด้วยตนเองแล้วเขาจะลำบาก ผลก็คือเมื่อโตขึ้นลูกกลายเป็นลูกแหง่ที่พึ่งตนเองไม่ได้ ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็น ยิ่งเติบโตยิ่งเป็นตัวปัญหาของสถาบันครอบครัว
6. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมส่งเสริมให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี มัวแต่สนใจลงทุนในการทำธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่ไม่รู้จักลงทุนในการสร้างลูกให้เป็นปัญญาชน ผลก็คือลูกเติบโตแต่ตัว แต่ทว่ามีสติปัญญาที่ต่ำต้อย ขาดทักษะการคิด การใช้เหตุผล การทำงาน การเข้าสังคม เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถร่วมเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเท่านั้นแต่ยังสร้าง ปัญหาให้สังคมอีกต่างหาก
7. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการทำแต่งานสังคมสงเคราะห์นอกบ้าน โดยลืมไปว่าคนที่ตนต้องสงเคราะห์ก่อนดูแลก่อนต้องให้ความรักก่อนก็คือลูก ผลก็คือแม้จะกลายเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ประสบความสำเร็จนอกบ้าน สังคมสรรเสริญ แต่กลับเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวในบ้าน และลูกกลายเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น ไม่พร้อมจะแบ่งปันความรัก และความอบอุ่นให้ใคร
8. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักยกย่องชมเชยลูกเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการเรียน ในการทำงาน หรือในการทำกิจกรรมใดๆ ก็ตาม ผลก็คือลูกกลายเป็นคนใจคอคับแคบ ยกย่องชมเชยใครไม่เป็น เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสำเร็จ เขาจึงเป็นนักอิจฉาริษยาตัวฉกาจ ที่จ้องแต่จะหาทางทำลายคุณงามความดีของคนอื่น
9. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสอนเขาให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ผลก็คือ เมื่อโตขึ้น เขาจึงพร้อมผละหนีพ่อแม่ไปอย่างไม่รู้สึกผิด ไม่เห็นความจำเป็นว่า การเป็นลูกที่ดีนั้น จะต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของตนอย่างไร
10. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนลูกให้รู้จักการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ ผลก็คือเมื่อโตขึ้นเขาจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ คิดแต่จะกอบโกย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนมองไม่เห็นหัวคนอื่น แทนที่จะถือหลัก "ยิ่งรวยยิ่งให้ ยิ่งได้ยิ่งแบ่ง"กลับถือหลัก "ยิ่งรวยยิ่งคอร์รัปชั่น ยิ่งแบ่งปันยิ่งสูญเสียเปล่า"
11. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง ผลก็คือ ลูกกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไร ส่งผลให้ไร้ภาวะผู้นำ ต้องเดินตามคนอื่นโดยดุษฎี
12. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลก็คือเขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคาราวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนดีของเพื่อนมนุษย์
13. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่แนะนำให้ลูกรู้จักคบเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร (เพื่อนแท้) ผลก็คือรอบกายของเขาจึงมีแต่บาปมิตร (เพื่อนเทียม) คอยประจบสอพลอ คอยหลอกล่อให้ทำความเลวทรามต่ำช้า ติดสุรา ยาเสพติด นำพาชีวิตไปในทางเสียหาย ตกอยู่ใต้วังวนของอบายมุข สนุกสนาน ไม่สนใจหาแก่นสารให้กับชีวิต
14. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเป็นคนรักการอ่าน รักการเขียน รักการเรียนรู้ รักการเดินทาง ปล่อยให้เขาศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองไปตามยถากรรม ผลก็คือเขากลายเป็นคนหูตาคับแคบ ขาดความรู้พื้นฐาน ขาดความรู้รอบตัว ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การคิด พูด ทำ ไม่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ขาดความแหลมคม ตามไม่ทันโลก ตกข่าว เป็นคนว่างเปล่าทางความรู้ (รอบตัว) ความคิด จิตใจ และไม่มีรสนิยมอย่างอารยชน
ขอขอบคุณข้อคิดดีๆ จากท่าน ว.วชิรเมธี
รู้ไหม ทำไม...ต้องกินผลไม้ 5 ทัพพีทุกวัน คลิกซะ
หลายคนคงอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "ต้องกินผัก ผลไม้ทุกวัน" หรือ "ไม่อยากท้องผูกต้องกินผัก ผลไม้ให้ได้ 5 ทัพพี" เป็นคำพูดที่ฟังดูคุ้นชิน แต่ใครจะรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของลักษณะนิสัยการกินข้างต้น
ประโยชน์ของการกินผัก ผลไม้ 5 ทัพพี ทุกวัน
1.ลดอัตราเสี่ยงของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การกินผักผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสมทุกวันเป็นผลดี จากการศึกษาแบบติดตามไปข้างหน้าสรุปได้ว่า การกินผักผลไม้เป็นประจำทุกวัน ทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลง (อายุยืนยาวขึ้น) และอัตราการป่วยด้วยโรคหัวใจลดลง แต่ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ การกินของมัน อีกด้วย
2. เสริมสร้างความแข็งแรงของระบบกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน จากการวิจัยพบว่า ผัก ผลไม้ จะช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
3. ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง จากรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่า ผู้หญิงที่กินผักผลไม้ 5.1 ส่วนต่อวัน จะสามารถลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมองได้ถึงร้อยละ 31 และร้อยละ 11 ตามลำดับ
4. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ป้องกันโรคมะเร็งบางชนิด
4.1 มะเร็งต่อมลูกหมาก การกินผัก ผลไม้ ที่มีเส้นใยสูง จะลดอัตราเสี่ยง 65 ปี จำนวน 1,230 คน พบว่า การกินผักมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก (ไม่พบในผลไม้) โดยเฉพาะผักที่มีเส้นใยสูง
4.2 มะเร็งของระบบทางเดินอาหาร จากงานวิจัยระดับนานาชาติ เกี่ยวกับการกินผักผลไม้กับความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง สรุปว่า การกินผักผลไม้จะลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะโรคมะเร็งระบบทางเดินอาหาร สามารถลดความเสี่ยงได้สูงถึงร้อยละ 20-30 และลดมะเร็งโดยรวมได้ประมาณร้อยละ 5-12
4.3 มะเร็งปอด การกินผักผลไม้จะทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดลดลงได้
5. ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน อ้วน รวมทั้งการป้องกันและขจัดภาวะขาดสารอาหาร จากรายงานขององค์การอนามัยโลก เรื่องโภชนาการและสารอาหาร กับการป้องกันโรคเรื้อรัง ได้มีข้อเสนอแนะให้กินผัก ผลไม้ อย่างน้อยวันละ 5 ทัพพีต่อวัน เพื่อป้องกันโรคเรื้อรังดังกล่าว
6. ประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่นๆ เช่น ชะลอการเกิดโรคต้อกระจก ลดอาการโรคหืด ช่วยระบบขับถ่าย ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น ความคุมน้ำหนักตัวไม่ให้สูงเกินไป
ที่มา : เฟซบุ๊ก นิตยสารหมอชาวบ้าน
วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557
เตือน! ซื้อยาปฏิชีวนะกินเองเสี่ยงอันตราย - เชื้อดื้อยา
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เตือนให้ผู้บริโภคอย่าซื้อยาปฏิชีวนะมาใช้เอง เพราะอาจได้รับอันตรายจากการใช้ยาโดยไม่จำเป็น และทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยา เพราะโรคหวัดเกิดจากเชื้อไวรัส แต่ยาปฏิชีวนะใช้รักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น พร้อมแนะ วิธีการเบื้องต้นในแยกแยะระหว่างอาการเจ็บคอที่เกิดจากเชื้อไวรัส กับอาการเจ็บคอที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
ดร.นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ในช่วงนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อาจส่งผลให้ประชาชนเจ็บป่วยเป็นโรคหวัดได้ง่าย โดยจะมีอาการเจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ มีเสมหะ หรืออาจมีไข้ร่วมด้วย และเมื่อมีอาการเหล่านี้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าจะต้องกินยาปฏิชีวนะ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ประชาชนควรมีความรู้ก่อนว่าอาการหวัดเจ็บคอที่เป็นนั้นมีสาเหตุจากอะไร เนื่องจากส่วนใหญ่ของหวัดเจ็บคอ (ร้อยละ 80) มักเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ มีเพียงส่วนน้อย (ร้อยละ 20) ที่อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และอาจจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ หากประชาชนไม่รู้ข้อเท็จจริงนี้ และกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งที่เป็นหวัดเจ็บคอ เขาจะได้รับยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นบ่อยถึงร้อยละ 80 เลยทีเดียว
วิธีการเบื้องต้นในการแยกแยะระหว่างการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย คือ หากเป็นหวัดเจ็บคอจากเชื้อไวรัส มักมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ มีเสมหะ เสียงแหบ คันคอ เจ็บคอ หรืออาจมีไข้ร่วมด้วย อาจนานประมาณ 7-14 วัน อาการจะมากสุดในช่วงวันที่ 3-5 หลังจากนั้นอาการโดยรวมจะค่อย ๆ ดีขึ้น น้ำมูกจะน้อยลงและข้นขึ้น บางทีอาจมีสีออกเหลืองโดยเฉพาะช่วงเช้า แต่อาการไออาจอยู่นานกว่า 2 สัปดาห์ งานวิจัยชี้ชัดว่ายาปฏิชีวนะไม่ช่วยให้อาการไอและหวัดหายเร็วขึ้นแต่อย่างใด การรักษาที่ดีที่สุด คือ การพักผ่อนและดื่มน้ำอุ่นเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานมาต่อสู้กับเชื้อไวรัส และอาจปรึกษาเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการหวัด ไอ คัดจมูก หรือเจ็บคอ
ส่วนอาการเจ็บคอที่อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (ซึ่งพบน้อย) มักมีอาการอย่างน้อย 3 ใน 4 ข้อนี้ร่วมกัน คือ (1) ไม่ไอ (2) มีไข้ (3) ต่อมทอนซิลมีจุดขาวหรือเป็นหนอง (4) ต่อมน้ำเหลืองใต้ขากรรไกรโตกดเจ็บ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสำรวจต่อมน้ำเหลืองของตนเองโดยการคลำบริเวณใต้ขากรรไกรเพื่อดูว่าต่อมน้ำเหลืองบริเวณนี้โตหรือกดเจ็บหรือไม่ และสามารถดูต่อมทอนซิลของตนเองโดยการอ้าปากและส่องกระจกดูที่ต่อมทอนซิลว่ามีจุดขาวหรือเป็นหนองหรือไม่ หากมีอาการ 3 ใน 4 ข้อ หรือมีอาการครบทั้ง 4 ข้อดังกล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
รองเลขาธิการฯ อย.กล่าวย้ำว่า ก่อนกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งต้องมั่นใจว่าโรคที่เป็นมีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย ไม่ควรกินยาปฏิชีวนะโดยไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคติดเชื้อแบคทีเรียหรือไม่ โดยสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรซ้ำทุกครั้งเพื่อความมั่นใจ และขอเตือนประชาชนอย่าซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง อย่าใช้ยา ปฏิชีวนะตามที่ คนอื่นแนะนำ และอย่าแบ่งยาปฏิชีวนะของตนเองให้แก่ผู้อื่น เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือไม่ เนื่องจากยาปฏิชีวนะมีหลายชนิด เช่น เพนนิซิลลิน อะม็อกซิซิลลิน เตตร้าซัยคลิน อิริทโทรมัยซิน โคทรัยม็อกซาโซล เป็นต้น และแต่ละชนิดใช้กับเชื้อแบคทีเรียต่างกัน และที่สำคัญ เราไม่รู้ว่าเขาแพ้ยาหรือไม่ หรือมีโรคประจำตัวอะไร
อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคได้รับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ขอให้ร้องเรียนที่สายด่วน อย. โทร. 1556 หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th หรือ ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือร้องเรียนผ่าน Oryor Smart Application หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อ อย. จะได้ดำเนินการปราบปราม และดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป
12 กฎเหล็กของนักช้อปซูเปอร์ฯ ตัวแม่
ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านหรือในห้างใหญ่ก็ทำให้เงินหมดได้ถ้าไม่รู้กฎเหล็กที่เหล่านักช้อปตัวแม่เค้าใช้กัน
1จดลิสต์สิ่งของที่จะซื้อ
กฎสำคัญข้อแรกของการช้อปคือ จดรายการข้าวของที่ต้องการซื้อก่อนออกจากบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้เราต้องหลงทางไปกับข้าวของล่อตาล่อใจมากมายในซูเปอร์มาร์เก็ต และจงตั้งสติให้มั่นอยู่กับลิสต์ในมือนั้นตลอดการซื้อของ
กฎสำคัญข้อแรกของการช้อปคือ จดรายการข้าวของที่ต้องการซื้อก่อนออกจากบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้เราต้องหลงทางไปกับข้าวของล่อตาล่อใจมากมายในซูเปอร์มาร์เก็ต และจงตั้งสติให้มั่นอยู่กับลิสต์ในมือนั้นตลอดการซื้อของ
2เปรียบเทียบราคา
หากต้องการซื้อของเป็นล็อตใหญ่ๆ ควรพกเครื่องคิดเลขไปด้วย (เดี๋ยวนี้ในโทรศัพท์ก็มีแอพเครื่องคิดเลขให้) ลองเปรียบเทียบราคาระหว่างซื้อแยกชิ้นกับซื้อเป็นแพ็กว่าแบบไหนที่คุ้มกว่ากัน เพื่อให้แน่ใจว่าได้ซื้อของราคาถูกจริงๆ ไม่ใช่เป็นสินค้าที่ถูกจับมาคละราคารวมกันระหว่างของถูกและแพง
หากต้องการซื้อของเป็นล็อตใหญ่ๆ ควรพกเครื่องคิดเลขไปด้วย (เดี๋ยวนี้ในโทรศัพท์ก็มีแอพเครื่องคิดเลขให้) ลองเปรียบเทียบราคาระหว่างซื้อแยกชิ้นกับซื้อเป็นแพ็กว่าแบบไหนที่คุ้มกว่ากัน เพื่อให้แน่ใจว่าได้ซื้อของราคาถูกจริงๆ ไม่ใช่เป็นสินค้าที่ถูกจับมาคละราคารวมกันระหว่างของถูกและแพง
3ตรวจสอบใบเสร็จ
ทำให้เป็นนิสัย อย่างน้อยๆ ให้แน่ใจว่าราคาสินค้าที่จ่ายไปนั้นถูกต้อง ยิ่งมีสินค้าลดราคาหรือใช้คูปองส่วนลดด้วยละก็ยิ่งต้องตรวจสอบ หากมีข้อผิดพลาดควรชี้แจงอย่างสุภาพกับแคชเชียร์ ขอให้รีเช็กอีกครั้งตามสิทธิ์ของลูกค้าอย่าให้ต้องสูญเงินไปเพราะความสะเพร่าของเราเองหรือของพนักงาน
ทำให้เป็นนิสัย อย่างน้อยๆ ให้แน่ใจว่าราคาสินค้าที่จ่ายไปนั้นถูกต้อง ยิ่งมีสินค้าลดราคาหรือใช้คูปองส่วนลดด้วยละก็ยิ่งต้องตรวจสอบ หากมีข้อผิดพลาดควรชี้แจงอย่างสุภาพกับแคชเชียร์ ขอให้รีเช็กอีกครั้งตามสิทธิ์ของลูกค้าอย่าให้ต้องสูญเงินไปเพราะความสะเพร่าของเราเองหรือของพนักงาน
4งดช้อปเป็นกลุ่ม
เคยสังเกตมั้ยว่าเรามักจะซื้อของมากขึ้นเมื่อไปช้อปกันเป็นกลุ่ม ยิ่งไปกันเป็นครอบครัวยิ่งสนุกใหญ่ คุณพ่ออยากได้นั่น คุณลูกอยากได้นี่ เมื่อรวมๆ กับอาหารและของใช้จำเป็นต่างๆ ที่คุณแม่บ้านต้องซื้อประจำอยู่แล้ว รายจ่ายจึงบานปลาย
เคยสังเกตมั้ยว่าเรามักจะซื้อของมากขึ้นเมื่อไปช้อปกันเป็นกลุ่ม ยิ่งไปกันเป็นครอบครัวยิ่งสนุกใหญ่ คุณพ่ออยากได้นั่น คุณลูกอยากได้นี่ เมื่อรวมๆ กับอาหารและของใช้จำเป็นต่างๆ ที่คุณแม่บ้านต้องซื้อประจำอยู่แล้ว รายจ่ายจึงบานปลาย
5งดสแกนสิ่งที่ไม่จำเป็น
เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมพนักงานเทสต์สินค้าต่างๆ ต้องตั้งบูธขวางทางเดิน นั่นก็เพื่อใช้เวลาช่วงสั้นๆ ที่เราเดินผ่าน ได้สัมผัส มองเห็น สูดกลิ่น หรือแค่อยากลองรสชาติ อาจโน้มน้าวให้เราต้องซื้อมันนั่นเอง ยิ่งมีปฏิสัมพันธ์ด้วยมากเท่าไหร่ก็มีโอกาสมากที่จะต้องเสียเงินจนได้ ทั้งๆ ที่มันไม่ได้อยู่แพลนการซื้อตั้งแต่ต้น
เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมพนักงานเทสต์สินค้าต่างๆ ต้องตั้งบูธขวางทางเดิน นั่นก็เพื่อใช้เวลาช่วงสั้นๆ ที่เราเดินผ่าน ได้สัมผัส มองเห็น สูดกลิ่น หรือแค่อยากลองรสชาติ อาจโน้มน้าวให้เราต้องซื้อมันนั่นเอง ยิ่งมีปฏิสัมพันธ์ด้วยมากเท่าไหร่ก็มีโอกาสมากที่จะต้องเสียเงินจนได้ ทั้งๆ ที่มันไม่ได้อยู่แพลนการซื้อตั้งแต่ต้น
6เมินตะกร้ากับรถเข็น
ถ้าตั้งใจจะไปซื้อนมกับขนมปังเท่านั้นก็อย่าใช้ตะกร้าหรือรถเข็นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมีให้ เพราะมันเป็นแรงกระตุ้นอย่างดีที่จะทำให้เราช้อปเพลินจนเต็มตะกร้าจำไว้ว่าจะใช้มันก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น
ถ้าตั้งใจจะไปซื้อนมกับขนมปังเท่านั้นก็อย่าใช้ตะกร้าหรือรถเข็นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมีให้ เพราะมันเป็นแรงกระตุ้นอย่างดีที่จะทำให้เราช้อปเพลินจนเต็มตะกร้าจำไว้ว่าจะใช้มันก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น
7อย่าช้อปตอนท้องว่าง
ตอนหิวๆ เห็นอาหารอะไรก็อยากกินอยากซื้อ ฉะนั้นดับความหิวลงสักหน่อยก่อนเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต อาจเป็นนมสักกล่องหรือขนมปังสักชิ้นสองชิ้น ไม่เช่นนั้นคงต้องกลับออกมาพร้อมของกินเต็มสองมือแน่ๆ แล้วดีไม่ดีกินไม่หมดเอาด้วยสิ
ตอนหิวๆ เห็นอาหารอะไรก็อยากกินอยากซื้อ ฉะนั้นดับความหิวลงสักหน่อยก่อนเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต อาจเป็นนมสักกล่องหรือขนมปังสักชิ้นสองชิ้น ไม่เช่นนั้นคงต้องกลับออกมาพร้อมของกินเต็มสองมือแน่ๆ แล้วดีไม่ดีกินไม่หมดเอาด้วยสิ
8เลือกจุดสตาร์ท
ทางเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตมักตกแต่งด้วยสินค้าหรืออาหารน่าซื้อ จงตั้งตนอยู่ในงบประมาณและรายการสิ่งของที่ตั้งใจมาซื้อ โดยเฉพาะนักช้อปที่ใส่ใจสุขภาพ ควรซื้อนมสด เนื้อสัตว์ และผักผลไม้ ให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยขยับไปโซนอาหารแห้งและขนมด้านใน เผลอๆ เมื่อถึงโซนขนม คุณอาจไม่เห็นความจำเป็นต้องซื้อมันก็ได้
ทางเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตมักตกแต่งด้วยสินค้าหรืออาหารน่าซื้อ จงตั้งตนอยู่ในงบประมาณและรายการสิ่งของที่ตั้งใจมาซื้อ โดยเฉพาะนักช้อปที่ใส่ใจสุขภาพ ควรซื้อนมสด เนื้อสัตว์ และผักผลไม้ ให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยขยับไปโซนอาหารแห้งและขนมด้านใน เผลอๆ เมื่อถึงโซนขนม คุณอาจไม่เห็นความจำเป็นต้องซื้อมันก็ได้
9อย่ากลัวที่จะคืนสินค้า
ซูเปอร์มาร์เก็ตมักทำช่องทางชำระเงินไม่กว้าง เพราะมากกว่า 50% ที่ผู้ซื้อมักจะคืนหรือเปลี่ยนสินค้าในขณะเข้าแถวรอจ่ายเงิน อย่าปล่อยให้ทางเดินแคบๆ นั้นมากดดันหากคิดจะคืนสินค้าที่ไม่ได้ต้องการจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดนี่นา
ซูเปอร์มาร์เก็ตมักทำช่องทางชำระเงินไม่กว้าง เพราะมากกว่า 50% ที่ผู้ซื้อมักจะคืนหรือเปลี่ยนสินค้าในขณะเข้าแถวรอจ่ายเงิน อย่าปล่อยให้ทางเดินแคบๆ นั้นมากดดันหากคิดจะคืนสินค้าที่ไม่ได้ต้องการจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดนี่นา
10เตรียมเพลงไปช้อป
ซูเปอร์มาร์เก็ตมักเปิดเพลงจังหวะฟังสบายๆ เพื่อให้เราเดินดูโน่นนี่ ไม่ต้องรีบ สุดท้ายต้องเสียเงินมากกว่าเดิม จากนี้ไปลองอัพจังหวะช้อปของเราให้สนุกขึ้นด้วยการสวมหูฟังเพลงจังหวะมันๆ ของตัวเองแล้วเลือกดูแต่ของที่อยากซื้อเท่านั้น
ซูเปอร์มาร์เก็ตมักเปิดเพลงจังหวะฟังสบายๆ เพื่อให้เราเดินดูโน่นนี่ ไม่ต้องรีบ สุดท้ายต้องเสียเงินมากกว่าเดิม จากนี้ไปลองอัพจังหวะช้อปของเราให้สนุกขึ้นด้วยการสวมหูฟังเพลงจังหวะมันๆ ของตัวเองแล้วเลือกดูแต่ของที่อยากซื้อเท่านั้น
11ใช้ประโยชน์จากแคตตาล็อก
เดี๋ยวนี้แคตตาล็อกสินค้าหรือแผ่นพับโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมของซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ มีแจกจ่ายไปถึงบ้าน จริงๆ แล้วมันมีประโยชน์มาก หนึ่ง-เอาไว้ตรวจสอบราคาสินค้าแต่ละแห่งเพื่อที่เราจะได้เลือกซื้อของที่ถูกกว่า สอง-ทำให้เราเตรียมเงินได้พอดีกับสิ่งของที่ต้องการซื้อ และสุดท้ายเมื่อรู้ว่าจะต้องไปที่ไหนและซื้ออะไร ก็สามารถวางแผนเวลาและการเดินทางได้
เดี๋ยวนี้แคตตาล็อกสินค้าหรือแผ่นพับโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมของซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ มีแจกจ่ายไปถึงบ้าน จริงๆ แล้วมันมีประโยชน์มาก หนึ่ง-เอาไว้ตรวจสอบราคาสินค้าแต่ละแห่งเพื่อที่เราจะได้เลือกซื้อของที่ถูกกว่า สอง-ทำให้เราเตรียมเงินได้พอดีกับสิ่งของที่ต้องการซื้อ และสุดท้ายเมื่อรู้ว่าจะต้องไปที่ไหนและซื้ออะไร ก็สามารถวางแผนเวลาและการเดินทางได้
12ดูเงื่อนไขลดราคาหรือคูปองให้ดี
ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะซื้อของลดราคาหรือใช้คูปองส่วนลดเพราะเป็นสิทธิ์ชอบธรรมของลูกค้าอยู่แล้ว แต่อย่าผลีผลามเมื่อเห็นว่าสินค้านั้นๆ ลดราคาแบบว่าถูกแล้วถูกอีกหรือซื้อหนึ่งแถมสองจนน่าตกใจ เพราะบางโปรโมชั่นอาจมีเงื่อนไขเล็กๆ น้อยๆ ในการซื้อ ก่อนลงเอยด้วยการที่เราต้องจ่ายเงินเพิ่มอยู่ด
ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะซื้อของลดราคาหรือใช้คูปองส่วนลดเพราะเป็นสิทธิ์ชอบธรรมของลูกค้าอยู่แล้ว แต่อย่าผลีผลามเมื่อเห็นว่าสินค้านั้นๆ ลดราคาแบบว่าถูกแล้วถูกอีกหรือซื้อหนึ่งแถมสองจนน่าตกใจ เพราะบางโปรโมชั่นอาจมีเงื่อนไขเล็กๆ น้อยๆ ในการซื้อ ก่อนลงเอยด้วยการที่เราต้องจ่ายเงินเพิ่มอยู่ด
Did You Know?
ซูเปอร์มาร์เก็ตหลายๆ แห่ง มีบัตรสมาชิกให้สมัครเพื่อส่งเสริมการขาย หากมีไว้จะได้ส่วนลดหรือแลกกับโปรโมชั่นต่างๆ ได้ด้วยนะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)