Translate

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คนไหนคือคนที่ใช่

ผู้หญิงคนหนึ่งมีปัญหาคั่งค้างในใจ เธอจึงตัดสินใจเข้าไปเรียนถามท่านพระอาจารย์
สีกา : พระอาจารย์เจ้าคะ อิฉันแต่งงานแล้ว แต่ตอนนี้อิฉันรักผู้ชายอีกคนหนึ่งคะ วันไหน หากอิฉันไม่ได้เห็นหน้าเขา อิฉันรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข อิฉันไม่รู้จะทำยังไงดีเจ้าคะ!
พระอาจารย์ : โยมมั่นใจไหมว่าชายคนนี้จะเป็นคนรักคนสุดท้ายของชีวิตโยม?
สีกา : มั่นใจคะ หัวใจของอิฉันตายด้านมาหลายปีแล้ว พอมาเจอเขา อิฉันไม่อยากพลาดคะ
พระอาจารย์ : ถ้างั้นโยมก็ขอหย่ากับสามีคนปัจจุบัน แล้วก็ไปแต่งกับชายคนใหม่
สีกา : แต่ชายคนรักในปัจจุบันเขาเป็นคนดีมาก เป็นคนขยันขันแข็ง รับผิดชอบต่อหน้าที่ หากอิฉันทำกับเขาอย่างนี้ มันจะโหดร้ายกับเขาเกินไปหรือเปล่าคะ? ดิฉันรู้สึกผิดเจ้าคะ!
พระอาจารย์: ชีวิตคู่ หากปราศจากความรักต่อกันต่างหากที่โหดร้าย ตอนนี้โยมก็มีรักใหม่ไม่ได้รักสามีของโยมแล้ว หากโยมหย่าขาดจากเขาแล้วไปแต่งงานใหม่มันก็สมควรแล้ว!
สีกา : แต่สามีของอิฉันรักอิฉันมากนะเจ้าคะ
พระอาจารย์ : ถ้าอย่างนั้น สามีของโยมก็เป็นคนโชคดีมากนะสิ!
สีกา : อิฉันจะหย่าขาดจากเขาแล้วไปอยู่กินกับคนใหม่ เขาควรจะเจ็บปวดมิใช่ดอกหรือเจ้าคะ จะโชคดีได้ยังไง!
พระอาจารย์ : ในชีวิตคู่ของโยมและเขา เขายังมีใจรักโยมอยู่ไม่เคยเปลี่ยน แต่โยมกลับสูญสิ้นรักเขา เพราะโยมไปรักคนอื่นแล้ว มีคำกล่าวว่า “ยังมี”คือโชคดี “สูญเสีย”คือโชคร้าย ดังนั้นคนที่เจ็บปวดคือโยมนั่นแหละ
สีกา : แต่อิฉันจะไปแต่งงานใหม่นะเจ้าคะ เขาต่างหากที่สูญเสียอิฉันไป เขานั่นแหละที่เจ็บปวด
พระอาจารย์ : โยมเข้าใจผิดแล้ว ฟังให้ดีนะ โยมเป็นเพียงอุปกรณ์ที่แสดงออกถึงรักจริงที่เขามีอยู่ เมื่ออุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่อยู่แล้ว รักจริงของเขายังคงดำรงอยู่ และจะมอบให้อุปกรณ์ชิ้นใหม่ที่เข้ามาในชีวิตเขาดังนั้น เขาจึงเป็นคนโชคดีและโยมคือคนที่โชคร้าย
สีกา : สามีของอิฉันเคยบอกอิฉันว่า ชาตินี้เขาจะรักเพียงอิฉันคนเดียว เขาจะไม่รักใครไหนอื่นอีก
พระอาจารย์ : คำพูดนี้ โยมก็เคยบอกเขาใช่ไหม?
สีกา : เอ่อ คือว่า อิฉัน..............
พระอาจารย์ : โยมลองหันไปดูเทียนสามเล่มที่จุดอยู่ที่กระถางสิ โยมคิดว่าเทียนเล่มไหนสว่างกว่ากัน?
สีกา : อิฉันไม่ทราบจริงๆเจ้าคะ ดูมันก็เหมือนๆกันคะ
พระอาจารย์ :เทียนสามเล่มนี้เปรียบไปก็เหมือนกับชายสามคน หนึ่งในสามเล่มนั้นเป็นชายคนรักใหม่ของโยมในปัจจุบันนี้ ผู้ชายมากมายในโลกนี้มีเป็นแสนล้านคน เทียนแค่สามเล่มโยมยังบอกไม่ได้ว่าเล่มใดสว่างกว่ากัน โยมหาชายคนปัจจุบันยังไม่ได้ แล้วโยมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะเป็นคนสุดท้ายในชีวิตของโยม?
สีกา : เอ่อ คือว่า อิฉัน..เอ่อ .........
พระอาจารย์ : โยมลองหยิบเทียนมาตรงหน้าสักหนึ่งเล่มสิ ตอนนี้บอกอาตมาสิว่าเล่มไหนสว่างที่สุด?
สีกา : เล่มที่อยู่ตรงหน้าของอิฉันตอนนี้เจ้าคะ
พระอาจารย์ : ตอนนี้โยมเอาไปวางไว้ที่เดิม แล้วลองพิจารณาดูสิว่าเล่มไหนสว่างที่สุด?
สีกา : อิฉันดูไม่ออกจริงๆเจ้าคะ ว่าเล่มไหนที่มันสว่างกว่ากัน
พระอาจารย์ : ความจริงก็คือ เทียนเล่มที่โยมถืออกมาเมื่อครู่นี้ก็คือชายคนที่โยมรักมากในปัจจุบัน เพราะรักเกิดจากใจ ในยามที่โยมรู้สึกรักเขา เขาจึงเป็นสิ่งที่สว่างที่สุดในชีวิตของโยม เมื่อโยมนำมันไปวางไว้ที่เดิม โยมจึงหาความสว่างที่สุดของเขาไม่เจอ ความรักที่โยมบอกว่า เขาจะเป็นคนรักคนสุดท้ายของโยม มันเป็นเพียงพระจันทร์บนผิวน้ำ เพราะสุดท้าย มันก็คือความว่างเปล่า
สีกา : อ่อ อิฉันเข้าใจแล้วเจ้าคะ ท่านอาจารย์ไม่ได้ต้องการให้อิฉันทิ้งสามีไปมีคนใหม่ ท่านกำลังชี้แนะอิฉันอยู่
พระอาจารย์ : เมื่อกระจ่างก็ดีแล้ว โยมจงกลับไปเถอะ
สีกา : ตอนนี้อิฉันเข้าใจแล้วเจ้าคะว่าอิฉันรักใคร เขาคือสามีของอิฉันในปัจจุบันนี้นี่เอง
พระอาจารย์ : อามิตาพุทธ ๆ

เครดิต: Mongkhonrata Sukhasvasdi

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558

วิธีแก้โรคเท้าเหม็นที่ต้นเหตุ ใช้แล้วได้ผลจริง


ในโลกนี้คนที่ประสบปัญหาในเรื่องของกลิ่นเท้าอยู่เยอะมาก  แต่เชื่อว่าเท้าของเราเกือบทุกคนจะต้องมีกลิ่นอยู่บ้างหล่ะ  แต่อยู่ที่ว่าใครจะมีกลิ่นมากน้อยเท่านั้นเอง  อย่าได้คิดว่าปัญหาเท้าเหม็นนี่เป็นเรื่องล้อเล่นนะค่ะ  เพราะมันเป็นปัญหาระดับโลกกันเลยทีเดียว เพราะมันได้ทำให้คนสูญเสียความมั่นใจ  และสูญเสียโอกาสดีดีในชีวิตมามากแล้ว
กลิ่นของกลิ่นเท้านั้นจะรุนแรงหรือไม่  ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง  และขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วยนะค่ะ  กลิ่นเท้านั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรียบริเวณเท้า  ไปทำปฏิกิริกับเหงื่อของเราค่ะ  ซึ่งเมื่อเท้าเราอยู่ในรองเท้า ก็จะอับทำให้เกิดเหงื่อได้ง่าย  ผลที่ตามมาคือกลิ่นนั่นเองค่ะ
บางคนอาจจะบอกว่าปัญหาเท้าเหม็นนั้นมันร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ  แอดมินพูดเว่อร์เกินไปมั๊ง !!  ที่จริงแล้วไม่ได้พูดเกินไปหรอกค่ะ  เพราะปัญหาเท้าเหม็นเนี่ย  ถ้ามันรุนแรงมากๆ เค้าจัดให้เป็นโรคเลยนะค่ะ  เค้าเรียกว่า “โรคเท้าเหม็น”  ซึ่งมีชื่อในภาษาอังกฤษคือ “Pitted Keratolysis” ซึ่งคนที่เป็นโรคเท้าเหม็นเนี่ย  เค้าจะมีกลิ่นเท้าที่รุนแรงมากๆ
อึ้ง โรคเท้าเหม็น รุนแรงกว่าที่คิด ! ดูวิธีแก้ที่ต้นเหตุ ใช้แล้วได้ผลจริง
บริเวณฝ่าเท้าจะมีรูเล็กๆ เต็มไปหมดเลยหล่ะค่ะ ผิวหนังตรงง่ามนิ้วเท้าจะเปื่อยลอกออกมา และเกิดเป็นแผลทำให้แสบมาก เมื่อถอดถุงเท้าก็จะทำได้ยาก ผิวหนังบริเวณฝ่าเท้าจะติดถุงเท้าออกมาด้วยเลยหล่ะค่ะ ซึ่งถ้าใครมีอาการรุนแรงมากๆ ก็ลองไปหาหมอดูนะค่ะ

อึ้ง โรคเท้าเหม็น รุนแรงกว่าที่คิด ! ดูวิธีแก้ที่ต้นเหตุ ใช้แล้วได้ผลจริง
หรือในขั้นต้นคุณอาจจะแก้ปัยหาด้วยตัวเองก่อนก็ได้ค่ะ ซึ่งเราก็มีวิธีแก้เท้าเหม็นที่ใครๆ หลายคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าใช้ได้ผล ซึ่งต่างคนก็ต่างวิธี วันนี้เราเลยเอาวิธีแก้เท้าเหม็นที่หลากหลายมาให้ท่านผู้อ่านได้เลือกใช้กันดูนะค่ะ
สาเหตุของการเกิดกลิ่นเท้า สามารถแบ่งออกเป็น 2 สาเหตุคือ 1.) เท้าของเรา 2.) ถุงเท้าและรองเท้า ซึ่งเราจะแยกวิธีแก้เท้าเหม็นออกเป็น 2 ส่วนนะค่ะ มาดูกันได้เลยค่ะ

1.) วิธีแก้เท้าเหม็นที่เท้าของเรา
เอาเท้าไปแช่ในน้ำยาบ้วนปาก
วิธีนี้อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่เอาเรื่องนิดนึงนะค่ะ เพราะเราจะใช้น้ำยาบ้วนปากค่ะ ซึ่งราคาก็ถือว่าแพงอยู่เหมือนกัน แต่เพื่อการต่อสู้กับกลิ่นเท้า เราก็ต้องยอม คือให้เราเอาน้ำยาบ้วนปากมาเทลงในกาละมังเล็กๆ พอที่เท้าทั้งสองข้างของเราใส่เข้าไปได้นั่นแหล่ะค่ะ แล้วเอาน้ำยาบ้วนปากซัก 2-3 ฝามาผสมกับน้ำเปล่า ผสมจนเข้ากันแล้วก็เอาเท้าของเราลงไปแช่ได้เลย แช่ไปเรื่อยๆ ซัก 30- 60 นาที ระหว่างนั้นคุณก็อ่านหนังสือ ดูทีวี แชตกับเพื่อนก็แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ สารฆ่าเชื่อแบคทีเรียที่อยู่ในน้ำยาบ้วนปาก จะจัดการกับแบคทีเรียที่เท้าของคุณให้เอง

ถุงชาเก่าช่วยได้
เมื่อคุณกินน้ำชาที่ชงจากถุงเล็กๆ เสร็จแล้วอย่าทิ้ง เพราะว่าเราจะนำมาใช้แก้กลิ่นเท้ากันค่ะ วิธีก็ให้คุณนำถุงชาที่ใช้แล้วเนี่ย มา 5 ถุง แล้วเอาลงแช่ลงในกาละมังน้ำอุ่น จากนั้นให้คุณเอาเท้าลงไปแช่ซัก 10 นาทีนะค่ะ ทำแบบนี้ประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ กลิ่นเท้าของคุณจะหายไปค่ะ เพราะความเป็นกรดด่างของถุงกาแฟนั้น จะช่วยกำจัดและยับยั้งแบคทีเรียให้หมดสิ้นไปนั่นเอง

เกลือกับมะนาวแก้เท้าเหม็น
วิธีนี้ให้คุณต้มน้ำให้เดือดแล้วเอาเกลือใส่ลงไป รอจนเกลือละลายแล้วค่อยเอามาเทลงในกาละมัง จากนั้นให้เติมน้ำเย็นลงไปให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้คุณร้อนจนเกินไป แล้วบีบน้ำมะนาวใส่ลงไปด้วย จากนั้นคุณก็เอาเท้าลงแช่ได้เลยค่ะ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีให้คุณเอาแปรงมาขัดเท้าของคุณระหว่างแช่ด้วยนะค่ะ ขัดทุกซอกเล็บให้สะอาด ให้ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 3 วัน กลิ่นเท้าของคุณจะค่อยๆ หายไปค่ะ

ใช้สารส้มมาขัดและแช่เท้าในสารส้ม
ให้คุณหาซื้อสารส้มผงมาละลายในน้ำอุ่น แล้วเอาเท้าลงไปแช่ ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 3 ครั้งจะช่วยให้กลิ่นเท้าหายได้ค่ะ หรือจะเอาสารส้มแบบเป็นก้อนเนี่ย มาขัดเท้าของเราตอนที่เราอาบน้ำทุกวันนะค่ะ เพียงเท่านี้ปัญหากลิ่นเท้าของคุณจะหายไปในไม่ช้าค่ะ

ขัดเท้าด้วยผงฟู (เบคกิ้งโซดา)
ผงฟูวัตถุดิบธรรมดาที่เราหาซื้อได้ตามร้านขายของชำทั่วไปเนี่ย สามารถช่วยแก้ปัญหากลิ่นเท้าของคุณได้ โดยให้นำเอาผงฟูเนี่ยมาละลายกับน้ำเปล่าให้มันข้นนิดนึง แล้วเอามาชโลมให้ทั่วเท้าของเราเลยนะค่ะ จากนั้นหาแปรงเล็กๆ หรือแปรงสีฟันเก่าๆ เนี่ย มาขัดทุกซอกทุกมุม ทั้งเท้าทั้งเล็บของเราจนทั่ว ทิ้งไว้ 3-5 นาทีแล้วล้างออก ซึ่งผงฟูจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดีค่ะ

ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อเดทตอล
ให้เอาเดทตอลที่เราหาซื้อได้ทั่วไปเนี่ย มาเทผสมกับน้ำเปล่าในกาละมัง ซึ่งให้ใช้เดทตอลซัก 2-3 ฝาก็พอ แล้วเอาเท้าลงไปแช่เลยนะค่ะ ถ้าจะให้ดีก็หาแปรงมาขัดทำความสะอาดเท้าเราด้วย ให้ทำแบบนี้ทุกวันก่อนนอน รับรองว่าปัญหาเรื่องกลิ่นเท้าของคุณจะหมดไป

รักษาเท้าให้แห้งและใช้แป้งโรย
ให้ดูแลรักษาเท้าไม่ให้เปียกหรืออับ ถ้าเท้าเปียกให้รีบหาอะไรมาเช็ดให้สะอาด และให้คุณหาแป้งโยคี ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป มาโรยบริเวณซอกเท้าของเรา โดยแป้งนี้ให้เราโรยก่อนใส่ถุงเท้าด้วยทุกวัน จะช่วยขจัดกลิ่นเท้าและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ค่ะ เมื่อใช้อย่างต่อเนื่องไปซักระยะหนึ่ง ปัญหาเรื่องของกลิ่นเท้าจะหมดไปค่ะ

ลดกลิ่นเท้าด้วยใบสะระแหน่
ให้คุณนำเอามาซัก 2-3 กำ มาต้มในน้ำซัก 7 ถ้วย เมื่อน้ำเดือดแล้วให้เอามาเทลงในกาละมัง รอจนน้ำหายร้อนจนอุ่นๆ แล้วก็เอาเท้าลงไปแช่ซัก 30 – 60 นาที ระหว่างนั้นก็ขัดถูทุกซอกของเท้าคุณเลยนะค่ะ กลิ่นเท้าของคุณจะหายไปและลดอาการส้นเท้าแตกที่กวนใจคุณอยู่อีกด้วย

หาซื้อสเปรย์ระงับกลิ่นเท้ามาช่วย
เพิ่มความมั่นใจของคุณด้วยการใช้สเปรย์ระงับกลิ่นเท้า ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปค่ะ ก็จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง โดยให้คุณพ่นสเปรย์ให้ทั่วเท้าก่อนใส่ถุงเท้า สารเคมีในน้ำยาจะช่วยยับยั้งแบคทีเรีย ก็จะช่วยระงับกลิ่นเท้าของคุณได้ในระดับหนึ่งค่ะ

ด่างทับทิมก็ช่วยได้
ให้หาซื้อด่างทับทิมมาผสมกับน้ำอุ่น แล้วเอาเท้าลงไปแช่ และขัดเท้าด้วย เท่านี้ก็จะช่วยขจัดและยับยั้งแบคทีเรียได้ค่ะ

2.) วิธีแก้เท้าเหม็นที่ถุงเท้าและรองเท้า
ถุงเท้าและรองเท้าต้องซักให้สะอาด
ก่อนจะซักถุงเท้าให้นำเอาไปแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อที่หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปซัก 15 – 20 นาที แล้วก็เอามาซักด้วยผงซักฟอก น้ำสุดท้ายอาจจะแช่น้ำยาปรับผ้านุ่มที่มีกลิ่นหอมก่อนก็ได้ แล้วพยายามเอาไปตากในที่ที่มีแดดจัดเลยนะค่ะ เพื่อให้รองเท้าได้แห้งอย่างสนิทยังไงหล่ะ การซักถุงเท้านั้นให้นำไปแช่น้ำร้อนซัก 20 นาที จากนั้นให้เอ่มาซักตามปกติ ซึ่งการแช่น้ำร้อนจะช่วยฆ่าแบคทีเรียและทำให้คราบสกปรกหลุดออกไปอย่างง่ายดายอีกด้วย

พื้นรองเท้าควรจะเปลี่ยนบ่อยๆ
สำหรับรองเท้าผ้าใบและรองเท้าหนัง จะมีพื้นรองเท้าอยู่ด้านใน ซึ่งเมื่อเราสวมใส่รองเท้าอยู่เป็นประจำเนี่ย แบคทีเรียมักจะไปสะสมอยู่ที่พื้นรองเท้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราจะเห็นคราบดำๆ บนพื้นรองเท้า ให้เราหาซื้อพื้นรองเท้ามาไว้เปลี่ยนหรือสำรองเอาไว้ ซึ่งเราสามารถหาซื้อได้ตามร้านรองเท้า หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป

เลือกรองเท้าให้เหมาะสม
ใครที่มีเหงื่อออกเท้าเยอะ พยายามหลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าหนังเทียมหรืแหนังผสม เพราะเมื่อเหงื่อเท้าออกมาแล้ว จะทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมาอย่างรุนแรง สามารถแก้ปัญหาด้วยการสวมรองเท้าหนังแท้ หรือรองเท้าพลาสติกแทนก็ได้นะค่ะ

หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าคู่เดิมๆ
เพราะหากเราสวมรองเท้าคู่เดิมทุกวันทุกเวลา จะทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี ยิ่งใส่ทุกวันอับอยู่อย่างนั้น ยังไงเท้าก็คงเหม็นแน่ๆ ให้มีรองเท้าไว้สำรองด้วย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันใส่คู่ละ 2 วัน คู่ที่ใส่แล้วก็พยายามเอาตากแดดหรือที่โล่งเข้าไว้นะค่ะ

อย่าสวมรองเท้าผ้าใบที่ชื้น
รองเท้าผ้าใบและรองเท้าหนังหุ้มส้นนั้น ถ้ามันเปียกชื้นอย่าสวมใส่เด็ดขาดนะค่ะ เพราะมันคือแหล่งของแบคทีเรียดีดีนี่เอง ถ้าคุณยังขืนใส่รองเท้าที่ชื้นอยู่ ยังไงเท้าคุณก็เหมือนแน่นอนค่ะ

วิธีแก้เท้าเหม็นที่เราอยากจะแนะนำก็มีเท่านี้ ก็คงจะเพียงพอที่จะช่วยขจัดปัญหาที่คุณกำลังประสบกันอยู่นะค่ะ ลองเอาแต่ละวิธีไปปฏิบัติกันดู บางวิธีอาจจะไม่เห็นผลได้ทันที ก็ลองดูผลซัก 1 สัปดาห์นะค่ะ แต่ถ้าอาการของคุณรุนแรงมาก ก็ลองไปพบแพทย์ดูนะค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่นะค่ะ ว่าโรคเท้าเหม็นนั้นเป็นโรคที่สามารถกลับมาเป็นอีกได้ ดังนั้นคุณจึงควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เมื่อหายแล้วก็อย่าทิ้งช่วงนานเกินไป ให้ปฏิบัติวิธีแก้เท้าเหม็นตามช่วงเวลาที่คุณว่างค่ะ

ขอบคุณที่มา http://www.tipsza.com และ dodeden.com
ขอบคุณรูปภาพ http://www.xn--42c8ao1akazf5c2be0gsk.com

โรคแพ้น้ำอสุจิ สาว ๆ ควรระวัง !



ปกติแล้วเรามักจะได้ยินแต่โรคแพ้สารเคมีหรือแพ้อากาศปกติกันใช่ไหมล่ะ แต่ต่อไปนี้สาว ๆ ควรระวังไว้ให้ดี เพราะตอนนี้มีสาว ๆ หลายคนเป็นโรคแปลกประหลาดที่คุณคาดไม่ถึง อย่างโรคแพ้น้ำอสุจิ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาเป็นกันมากถึง 20,000-40,000 คนเลยทีเดียว ฟังดูแล้วอาจจะชวนให้สงสัยใช่ไหมล่ะว่าเป็นยังไง ถ้าอยากรู้แล้วละก็ไปติดตามเรื่องราวของโรคประหลาดนี้กันเลยดีกว่าค่ะ             

          โรคแพ้อสุจิทำให้การมีเพศสัมพันธ์อาจกลายเป็นฝันร้ายของผู้หญิงได้ เพราะโรคนี้จะทำให้ผิวหนังเหมือนโดนเผาไหม้และมีอาการบวมแดง ซึ่งเรื่องราวนี้ก็เกิดขึ้นกับคู่รัก คลาร่า และ เจฟฟ์ (นามสมมติ) ที่ทางฝ่ายผู้หญิงเป็นโรคประหลาดแพ้น้ำอสุจิของฝ่ายชาย โดยทั้งคู่ได้ออกมาบอกเล่าเรื่องผ่านรายการ 
ABC's Good Morning America เพื่อให้ผู้คนรับรู้ถึงความทรมานของคนเป็นโรคนี้ 
            

           ทั้งนี้คลาร่ากล่าว่า ครั้งแรกที่เธอมีเพศสัมพันธ์กับสามี ก็เริ่มมีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอรู้สึกเหมือนผิวหนังไหม้ บวมพอง และแดงไปหมด แต่ในตอนแรกเธอคิดว่าเธอเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เฉย ๆ โดยอาการบวมพองที่ผิวนั้นเป็นนานถึง 
24 ชั่วโมงแล้วค่อย ๆ ยุบตัวลงและผิวหนังก็มีอาการแสบร้อนไปหมด
 จนในที่สุดคลาร่า และ เจฟฟ์ ก็ได้เข้าพบกับ โจนาธาน เบิร์นสไตน์ (Jonathan Bernstein) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาการแพ้และภูมิคุ้มกันจาก University of Cincinnati ซึ่งผู้เชี่ยวชาญรายนี้ก็บอกว่า การรักษานั้นต้องเก็บน้ำเชื้อของเจฟฟ์มาหาว่าโปรตีนตัวไหนในน้ำอสุจิที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และก็ฉีดภูมิคุ้มกันให้คลาร่า ซึ่งน้ำอสุจิจะถูกทำให้เจือจางและเก็บไว้ในหลอดฉีดยา 2 ชั่วโมงก่อนจะให้ทั้งคู่มีเพศสัมพันธ์กันภายใน 12 ชั่วโมง หลังจากได้รับการรักษาแล้ว คลาร่าบอกว่ามันได้ผล เพราะเธอมีอาการบวมน้อยลงเมื่อเทียบจากครั้งก่อน ๆ ที่ผ่านมา


         
อ่านข่าวอื่นๆได้ที่  www.tvpoolonline.com

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

วิธีทำให้ลูกฉลาด: ตั้งแต่ในครรภ์ถึงวัยคลาน

มีวิธีเสริมสร้างพัฒนาการและสมองของลูกน้อยมากมายที่คุณแม่มือใหม่ควรทราบ ลองมาดูวิธีต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ลูกน้อยของคุณเติบโตอย่างสมวัยและฉลาด ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ไปจนถึงกิจกรรมและเกมต่าง ๆ ที่คุณสามารถนำไปเล่นกับทารกได้


กระตุ้นสมองลูกน้อยตั้งแต่ในครรภ์
สมองของทารกจะเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็วระหว่างที่อยู่ในครรภ์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการดูแลครรภ์ตลอดระยะเวลา 9 เดือนจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง งานวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่าการดูแลรักษาสุขภาพ เช่นการหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเคมีอันตราย หรือการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ จะสามารถช่วยในการเจริญเติบโตของสมองของทารกได้เป็นอย่างดี

ผลการศึกษาระบุว่าอาหารเหล่านี้สามารถช่วยเสริมสร้างสมองของทารกได้:
  • กรดไขมันโอเมกา 3พบใน เมล็ดป่าน หรือน้ำมันเมล็ดป่าน และไข่บางชนิด (ลองมองหาฉลากโอเมก้า 3) โอเมก้า 3 เป็นสารอาหารที่ช่วยกระตุ้นสมองชั้นเลิศ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าทารกจะได้คะแนนในการทดสอบสมองสูงกว่าหากคุณแม่ได้กินโอเมก้า 3 ระหว่างตั้งครรภ์
  • โปรตีน: ระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณจะทำงานหนักเพื่อที่จะพยายามสร้างสมองของทารก ซึ่งเป็นกระบวนการที่จำเป็นต้องใช้โปรตีนสูง คุณสามารถกินอาหาร เช่น ขนมปังทาเนยถั่ว หรือ สมูทตี้โยเกิร์ต (น้ำตาลต่ำ) เพื่อช่วยเสริมโปรตีนได้
  • ธาตุเหล็ก: เป็นสารอาหารที่สำคัญที่จะช่วยลำเลียงออกซิเจนไปยังสมองของทารกในครรภ์ คุณจึงควรกินอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กเช่น ผักโขม เนื้อไก่ไม่ติดมัน และพืชจำพวกถั่ว แพทย์อาจแนะนำให้คุณกินธาตุเหล็กเสริมควบคู่ไปด้วย
  • สารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในอาหารเช่น บลูเบอร์รี่ มะละกอ ผักโขม อาร์ติโชค มะเขือเทศ ถั่วแดงจะช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองของทารก
หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการที่จะช่วยเสริมสร้างสมองของลูกน้อย คุณสามารถลองขอคำแนะนำจากแพทย์เพิ่มเติม


วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กแรกเกิด
คุณสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางสมองของลูกน้อยได้ตั้งแต่แรกเกิด สมองของทารกแรกเกิดจะมีขนาดประมาณ 25% ­ของสมองผู้ใหญ่ และจะเติบโตขึ้นเป็น 75% เมื่ออายุ 2 ขวบ ซึ่งถือเป็นพัฒนาการช่วงสำคัญของสมอง นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการกระตุ้นสมองจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเด็กในช่วงขวบวัยนี้

วิธีที่ดีที่สุดคือการให้ลูกได้ลองทำกิจกรรมหลากหลาย แต่คุณไม่จำเป็นต้องอัดกิจกรรมให้ลูกจนแน่น แค่ให้เขาได้ลองทำอะไรง่าย ๆ พื้น ๆ ที่เหมาะสมกับวัย อาทิ:
–          โมบายแขวน หรือ การ์ดรูปภาพ
–          ดนตรีเบา ๆ ฟังสบาย ๆ
–          นมแม่คือแหล่งอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกซึ่งช่วยในการพัฒนาสมอง มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งชี้ว่านมแม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับสติปัญญาของเด็ก
–          เข้าไปใกล้ ๆ เวลาพูดคุยกับเขาเพื่อให้เขาเห็นคุณชัดขึ้น
–          ทารกมักชอบให้คุณอยู่ใกล้ชิด พยายามกอด หอม สัมผัสเขาบ่อย ๆ หรือแม้แต่การใช้โทนเสียงต่าง ๆ กันเวลาอ่านนิทาน
–          จับลูกคว่ำวันละ 2-3 นาที เพื่อให้เขาได้ฝึกทักษะการเคลื่อนไหว ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมอง

วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กทารก
เมื่อลูกน้อยเริ่มโตขึ้น คุณสามารถลองให้เขาทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้มากขึ้น สมองของทารกจะพัฒนาเมื่อเขาได้เรียนรู้เสียงจากสิ่งของต่าง ๆ เช่นเสียงจากของเล่น หรือช้อนส้อม ฯลฯ การมองลูกบอลกลิ้งและพยายามจะจับลูกบอลก็ช่วยพัฒนาสมองเช่นกัน ลองปรับเปลี่ยนเวลาการเล่นและกิจกรรมต่าง ๆ ตามความเหมาะสม คุณอาจอยากลองกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้:
–          เปิดดนตรีหลาย ๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็นดนตรีคลาสสิกไปจนถึงเพลงร็อค แต่อย่าเปิดเพลงดังเกินไป
–          ลองให้ลูกได้สัมผัสพื้นผิว มองสีสัน และฟังเสียงต่าง ๆ พาเขาออกไปเดินเล่นนอกบ้าน เปลี่ยนของเล่น หนังสือ หรือแม้แต่สื่อโสตทัศน์ต่าง ๆ เพื่อให้เขาได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย
–          บล็อกตัวต่อเป็นของเล่นที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของสมองชั้นเยี่ยม
–          การดูแลใกล้ชิดก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาของเด็ก พยายามอยู่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุด ร้องเพลง คุยกับเขา กอดเขาบ่อย ๆ
อย่าลืมว่าแม้คุณอาจไม่สามารถซื้อของเล่นแพง ๆ ให้ลูก สิ่งสำคัญคือคุณควรใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากที่สุด เพราะนั่นคือปัจจัยที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อยที่สำคัญที่สุด

มีเซ็กซ์ 9 ท่าที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์

เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ คู่รักมักกังวลว่าการมีเซ็กซ์จะปลอดภัยสำหรับลูกในท้องหรือไม่ คุณหมอมักแนะนำให้งดกิจกรรมดังกล่าวในระยะเดือนแรก ๆ ของอายุครรภ์ แต่ในทางการแพทย์แล้วการมีเซ็กซ์นั้น มีผลดีมากมายกับแม่และสุขภาพการตั้งครรภ์


การตั้งครรภ์ไม่ใช่อุปสรรคของการมีเซ็กซ์
การมีเซ็กซ์โดยทั่วไปถือว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างความสุข เป็นการสนองความต้องการของร่างกายและจิตใจของคู่รัก เป็นการแสดงความรัก ความผูกพันวิธีหนึ่ง และอย่างที่รู้กันโดยทั่วไปคือ ช่วยเผาผลาญพลังงานได้อย่างดี ทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตคล้ายการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้น ยิ่งมีข้อดีหลายอย่างเพิ่มเติม เช่น ช่วยให้ผ่อนคลาย เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในช่วงอายุครรภ์ 4-6 เดือน จริง ๆ แล้วคู่รักสามารถทำกิจกรรมดังกล่าวได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ
การมีเซ็กซ์ในระหว่างที่ผู้หญิงตั้งครรภ์นั้นได้รับการสนับสนุนในทางการแพทย์ เมื่อสภาวะการตั้งครรภ์ของคุณปกติดี ในขณะที่ขนาดของครรภ์อาจเป็นอุปสรรคหรือทำให้คู่รักกังวลใจได้ การเลือกท่าของการมีเซ็กซ์จึงมีส่วนสำคัญเพื่อความปลอดภัย ความสุข และความพึงพอใจมากขึ้น ทั้งนี้ในแต่ละท่าก็ขึ้นอยู่กับสรีระ และความพึงพอใจของแต่ละบุคคลค่ะ
1. ท่าช้อน หรือ spooning เหมือนการนอนโอบกอดกันนั่นเอง โดยผู้หญิงหันหลังแนบกับแผ่นอกของผู้ชาย และการที่ผู้ชายอยู่ด้านหลัง ทำให้ลดความอึดอัดจากขนาดของครรภ์ และทำให้การเสียดสีและการสอดใส่จากด้านข้างหรือด้านหลังดีและลึกขึ้น ช่วยให้สบายและผ่อนคลายทั้งสองฝ่าย
2. ผู้หญิงอยู่ด้านบน หรือ Woman on Top โดยนั่งคร่อมลำตัวของผู้ชาย หรือนั่งคุกเข่า ใช้เข่าและขารับน้ำหนักตัว หรือใช้มือทั้งสองช่วย เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหว ดูเหมือนจะเป็นท่าที่ปลอดภัยที่สุดท่าหนึ่ง และเป็นท่าที่ขนาดของครรภ์ไม่เป็นอุปสรรคอย่างแน่นอน
3. ท่า Reversed Cowgirl เช่นเดียวกับท่าที่ผู้หญิงอยู่ด้านบน แต่ผู้หญิงหันหน้าไปทางปลายเท้าของผู้ชาย
4. ใช้เก้าอี้ช่วย โดยที่คุณนั่งบนเก้าอี้ และฝ่ายชายคุกเข่า ให้เก้าอี้ที่ใช้มีความสูงกว่าฝ่ายชายเพื่อตำแหน่งที่เหมาะสม และไม่เมื่อยเกินไป
5. ท่ากรรไกร หรือท่า Scissors ผู้เชี่ยวชาญแนะนำท่านี้ เนื่องจากคู่รักต้องกางขาออก ขนาดของครรภ์จึงไม่เป็นอุปสรรคเลย และทำให้การเคลื่อนไหวไม่รุนแรงเกินไป
6. ใช้หมอนช่วยเมื่อขนาดของครรภ์เป็นอุปสรรค การใช้หมอนหนุนหลังเมื่อทำท่านอนหงายธรรมดาช่วยได้อย่างดีที่เดียวค่ะ
7. ใช้ขอบเตียงหรือมุมเตียงนอนช่วย โดยที่ฝ่ายชายคุกเข่าหรือยืนที่พื้น ผู้หญิงนอนหงายบนเตียง
8. ผู้หญิงคุกเข่าบนที่นอนหรือเก้าอี้โซฟา โดยที่แขนและศรีษะอยู่บนที่นอน หรือท้องพักตรงพนักพิงของเก้าอี้โซฟาโดยมือจับขอบเก้าอี้โซฟาไว้ ใช้แขนและมือช่วยรับน้ำหนัก ผู้ชายคุกเข่าหรือยืนที่พื้นอยู่ด้านหลังเช่นกัน
9. ท่า Policeman หรือท่าที่ผู้หญิงยืนหันหน้าเข้าฝาผนัง ใช้มือยันรับน้ำหนักกับผนัง โดยผู้ชายยืนอยู่ด้านหลัง

การร่วมรักหลังคลอดแล้ว ควรระวังเนื่องจากระดับฮอร์โมนคุณผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และร่างกายก็ต้องการการฟื้นฟูและการพักผ่อน รวมทั้งการที่ต้องให้นมลูก คุณหมอส่วนใหญ่จึงแนะนำให้รอประมาณ 6 สัปดาห์หลังคลอด ที่สำคัญอีกอย่างคืออย่าลืมป้องกันถ้าคุณวางแผนที่จะทิ้งระยะเวลาห่างการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป

เราต้องทำอย่างไรไม่ให้ลูกน้อยหัวแบน

อีกหนึ่งเรื่องกังวลของพ่อแม่มือใหม่คงหนีไม่พ้นเรื่องอยากให้ลูกหัวสวย หัวทุย หัวไม่แบน แต่ปัจจุบันเด็กหัวแบนกันมากขึ้น เนื่องจากทางการแพทย์แล้วแนะนำให้เด็กทารกนอนหงายมากกว่านอนคว่ำ เพื่อป้องกันภาวะ SIDS (Sudden Infant Death Syndrome) หรือโอกาสที่เด็กจะเสียชีวิตขณะนอนหลับ


ทำอย่างไรไม่ให้ลูกน้อยหัวแบน
ทำอย่างไรไม่ให้ลูกน้อยหัวแบน
อีกหนึ่งเรื่องกังวลของพ่อแม่มือใหม่คงหนีไม่พ้นเรื่องลูกอยากให้ลูกหัวสวย หัวทุย หัวไม่แบน แต่ปัจจุบันเด็กหัวแบนกันมากขึ้น เนื่องจากทางการแพทย์แล้วแนะนำให้เด็กทารกนอนหงายมากกว่านอนคว่ำ  เพื่อป้องกันภาวะ SIDS (Sudden Death Syndrome) หรือโอกาสที่เด็กจะเสียชีวิตขณะนอนหลับ
สาเหตุของการหัวแบนเนื่องมาจากกระดูกของเด็กแรกเกิดเป็นกระดูกที่มีความอ่อน หากนอนทับอยู่ในตำแหน่งเดิมตลอดเวลาก็จะทำให้กะโหลกศีรษะของเด็กแบนได้ อย่างไรก็ดีภาวะหัวแบนไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด (ส่งผลกับความสวยงามของรูปศีรษะเท่านั้น)
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่อยากให้ลูกหัวแบนมีคำแนะนำง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
วิธีป้องกันลูกหัวแบน
  1. จัดท่านอนให้ลูกตะแคงข้าง สลับข้างไปมาซ้ายบ้าง ขวาบ้าง
  2. ให้ลูกนอนคว่ำ หัวสวยแน่นอน แต่ก็ค่อนข้างอันตรายในเด็กสามเดือนแรก เพราะอาจทำให้เด็กขาดอากาศหายใจ ถ้าจับลูกนอนคว่ำ พ่อแม่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด อย่าให้มีหมอนหรือสิ่งของอื่นๆ อุดจมูกลูก
  3. ถ้าลูกไม่ยอมนอนคว่ำให้หาหมอนหลุมมาให้ลูกนอน
  4. ช่วงที่ลูกตื่นอย่าให้ลูกอยู่ในท่านอนหงายเพียงอย่างเดียว ให้ลูกอยู่ในท่าอื่นๆ ด้วย เช่น คว่ำชันนคอ ตะแคงหรืออุ้มลูกขึ้นมา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม
  5. ไม่ควรให้นอนในคาร์ซีท หรือรถเข็นเด็กนานเกินไป
  6. การอุ้มลูกก็ควรสลับข้างไปมาซ้ายขวาเช่นกัน
  7. ถ้าจะอุ้มลูกไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือพาออกไปข้างนอก ก็ควรใช้เป้อุ้มเด็ก เพื่อให้คอและหัวของลูกเป็นอิสระ

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

ประโยชน์ต้นอ่อนทานตะวัน

                 
                                                 เมล็ดทานตะวันงอก มากมายด้วยคุณค่าทางอาหารเมล็ดธัญพืชงอก ถือเป็นอาหารที่มีการนำมาบริโภคกันมานาน  ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือถั่วงอก   ซึ่งเป็นผลผลิตมาจากถั่วเขียว  โดยถั่วงอกมีการนำมาทำเป็นเมนูอาหารได้อย่างหลากหลาย  ไม่ว่าจะเป็นผัด  ต้ม  หรือทานสดๆและที่โด่งดังกันสุดๆ    คือ ข้าวกล้องงอกที่อุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย   ไม่ว่าจะเป็นสาร    GABA (gamma aminobotyric acid) ที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน ช่วยมนการควบคุมน้ำหนักตัว และที่สำคัญช่วยบำรุงเซลล์ประสาท ทำให้สมองเกิดการผ่อนคลาย ป้องกันการทำลายสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสูญเสียความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์นั่นเอง รวมไปถึงสารอาหารอื่นๆ เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก (Phytic acid) วิตามินซี วิตามินอี ล่าสุดมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเมล็ดธัญพืชอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเรารู้จักกันเป็นอย่างดี นั่นคือ “ทานตะวัน” แต่ที่ผ่านมานั้นเรารู้จักประโยชน์ของเมล็ดทานตะวันของพืชที่มีดอกใหญ่ มีการสกัดน้ำมันจากเมล็ดโดยน้ำมันดอกทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงสามารถนำไปใช้ในการฟอกหนัง และประกอบอาหาร แต่ข้อมูลจากการศึกษาและวิจัยพบว่า ต้นอ่อนของเมล็ดทานตะวัน มีโปรตีนสูงกว่าถั่วเหลือง มีวิตามินเอ และวิตามินอีสูง บำรุงสายตา ผิวพรรณและชะลอความชรา มีวิตามิน บี 1 บี 6 โอเมก้า 3 โอเมก้า 6 โอเมก้า 9 ซึ่งช่วยบำรุงเซลล์สมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อม (อัลไซเมอร์) และธาตุเหล็กสูงนอกจากนี้ต้นอ่อนทานตะวัน ยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกหลายตัวตัวด้วยกัน เช่น วิตามินเอ วิตามินอี โปรตีน ฯลฯ ต้นอ่อนทานตะวันจึงเหมาะในการนำมาปรุงเป็นอาหารสุขภาพอีกชนิดหนึ่ง โดยเมนูอาหารก็สามารถทำได้เหมือนถั่วงอก ไม่ว่าจะเป็น ผัด ต้ม ใส่ก๋วยเตี๋ยว

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

โภชนาการสำหรับแม่ที่ให้นมลูก


โภชนาการที่ดีและพอเพียงสำหรับลูก

แม่ที่ให้นมลูกต้องมีโภชนาการที่เหมาะสม เป็นสารอาหารที่ให้แคลอรีเพิ่มขึ้นจากปกติอย่างน้อย 500 แคลอรีจึงจะพอเพียงสำหรับทั้งแม่และลูก


เลี่ยงอาหารที่ส่งผลเสียต่อลูกน้อย

มีอาหารหลายอย่างมากที่อาจทำให้ลูกคุณไม่สบายตัว เช่น ช็อกโกแลต กระเทียม พริก ผลไม้พวกส้ม ผักกาด เป็นต้น ถ้าคุณสังเกตเห็นว่าลูกคุณมีอาการผิดปกติหลังจากคุณทานอาหารเข้าไป ลองงดอาหารนั้น ๆ เพื่อดูอาการของลูกคุณ เพราะเด็กแต่ละคนมีการตอบสนองต่ออาหารแต่ละอย่างแตกต่างกันไป


วิตามินเอ

อาหารที่ให้วิตามินเอ ได้แก่ ผักสด ถั่วแอลมอนด์ ถั่วเฮเซลนัท ผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว และเนื้อสัตว์ ร่างกายคุณต้องการวิตามินเอเพิ่มจาก 1,000 มิลลิกรัมเป็น 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณได้รับวิตามินเอย่างพอเพียงต่อวันจากแหล่งอาหารที่กล่าวมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทานวิตามินเอในรูปของอาหารเสริมอีก


กรดไขมันโอเมกา 3

กรดไขมันโอเมกา 3 เป็นสารอาหารที่ขาดไม่ได้ในโภชนาการสำหรับแม่ที่ให้นมลูก เพราะ สารตัวนี้มี ดีเอชเอที่ช่วยพัฒนาสมองของลูก กรดไขมันโอเมกา 3 มีในอาหาร ถั่วต่าง ๆ และยังมีในพวกอาหารเสริมอีกด้วย


ดื่มน้ำให้มาก

อย่าให้ร่างกายของคุณขาดน้ำเพราะน้ำเป็นตัวช่วยสร้างน้ำนม ถ้าคุณไม่ชอบดื่มน้ำ คุณก็ทานผักผลไม้ที่ให้น้ำมาก ๆ ดื่มนมหรือน้ำผลไม้ ซุปต่าง ๆ ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบก็จะช่วยทดแทนได้


ทานให้มากกว่าเดิม

ไม่ว่าในระหว่างตั้งครรภ์หรือระหว่างให้นมลูก คุณกำลังทานเพื่อคน 2 คน คือคุณและลูก ดังนั้นปริมาณอาหารที่คุณควรได้รับจึงต้องมากพอสำหรับ 2 คน โภชนาการที่ดีสำหรับแม่ช่วยให้ร่างกายคุณผลิตน้ำนมที่มีคุณภาพแก่ลูกน้อย และยังสร้างเสริมซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอของคุณไปในตัวด้วย


อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

อาหารที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงคือ อาหารที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์และนิโคติน สารพวกนี้เป็นอันตรายต่อพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจของลูกน้อย แม้ว่าหมอบางท่านจะอนุญาตให้คุณจิบไวน์หรือเบียร์ได้บ้าง แต่ทางที่ดีที่สุดคือ งดเว้นไปเลยเพื่อลูกน้อยของคุณ


ทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

แม่ที่ตั้งใจให้นมลูกต้องเตรียมสุขภาพร่างกายให้พร้อมตั้งแต่ก่อนคลอดให้สมบูรณ์เต็มที่ ได้รับสารอาหารทั้งโปรตีน วิตามิน แคลอรี และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตเต็มที่ของลูกน้อย แหล่งอาหารที่ให้แคลเซียมมีใน นม ชีส และโยเกิร์ต เป็นต้น นอกจากนี้สารอาหารจากผักผลไม้เกษตรอินทรีย์ (ออร์แกนิค) และธัญพืชก็มีส่วนสำคัญที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่ลูกน้อยของคุณ แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำว่าอาหารเสริมเช่นโฟลิคหรือแร่สังกะสีจำเป็นหรือไม่สำหรับคุณแม่ที่ให้นมลูกเอง

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

คุณอุ้มลูกถูกวิธีรึเปล่า?

นับจากนาทีที่ลูกน้อยเกิดขึ้นมา ลูกก็อยากได้รับการโอบอุ้มที่ใกล้ชิดที่สุดและบ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พ่อแม่ที่ยังเป็นมือใหม่อยู่คุณมั่นใจหรือไม่ว่าคุณอุ้มลูกถูกวิธีอยู่ เรามาจะเช็คกัน



mom carry baby smile คุณอุ้มลูกถูกวิธีรึเปล่า?
วิธีการอุ้มลูกให้ถูกต้อง
เมื่อพ่อแม่ได้อุ้มลูก สัมผัสจากผิวกายต่อผิวกายนี้เองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ความอบอุ่นกับทารก ช่วยควบคุมการหายใจ และช่วยทำให้ลูกผ่อนคลาย
เมื่อคุณพาลูกกลับมาบ้าน คุณต้องใช้เวลามากมายอุ้มลูก ไม่ใช่แค่เพื่อให้ลูกรู้สึกสบาย แต่เป็นการเคลื่อนย้ายลูกจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ใช้เวลาในแต่ละวันอุ้มลูกอยู่ใกล้ ๆ และทำความรู้จักกับลูกให้มากขึ้น ให้เพื่อน ๆ และครอบครัวของคุณได้อุ้มทารกไว้ ให้ลูกได้สร้างความผูกพันกับคนสำคัญในชีวิตของคุณตั้งแต่ลูกยังอายุน้อย ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม คุณต้องจำไว้ว่า ทารกเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ที่แสนเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพ่อแม่มือใหม่ หากคุณไม่เคยใช้เวลากับเด็กทารกมากเพียงพอ คุณอาจรู้สึกการอุ้มทารกเป็นเรื่องน่ากลัวก็ได้ ไม่ต้องคิดเรื่องอุ้มเด็กไปไหนต่อไหนเลย คุณผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเงอะงะงุ่มง่ามในครั้งแรกที่อุ้มเด็กเพราะยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน คอของเด็กทารกมีขนาดเล็กและไม่ต่างอะไรกับลูกนกแรกเกิด นั่นก็คือ อ่อนแอและประคองตัวเองไม่ได้ในระยะสัปดาห์แรก ๆ ดังนั้นก่อนที่คุณจะอุ้มลูกไปไหนต่อไหน จำเอาไว้ว่า คุณต้องอุ้มลูกให้ถูกวิธีเสียก่อน

วิธีการอุ้มลูก
ความเปราะบางของเด็กทารกเป็นสิ่งที่น่ากลัวอยู่ไม่น้อยในช่วงแรก แต่เรามีเคล็ดลับบางอย่างมาให้คุณได้เรียนรู้อุ้มลูกน้อยให้ถูกวิธีดังนี้
– ก่อนยกตัวลูกขึ้นมา พูดคุยกับลูกก่อนให้ลูกได้รับรู้ว่าคุณอยู่ตรงนั้น คุณคงไม่อยากทำให้ลูกตกใจหรอกนะ
– ประคองคอน้อย ๆ และหัวของลูกอย่างระมัดระวังเวลาคุณอุ้มลูกขึ้นมา คุณต้องแน่ใจว่าส่วนหัวของลูกได้รับการโอบอุ้มตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนที่คุณจะวางลูกลง
– หากลูกกำลังนอนคว่ำหน้าอยู่ ค่อย ๆ สอดแขนข้างหนึ่งเข้าไปรองรับที่ใต้คางและคอ แล้วค่อย ๆ สอดแขนอีกข้างรอบ ๆ สะโพกของลูก จากนั้นคุณก็จะสามารถกลับด้านลูกได้ในขณะที่ลูกยังคงได้รับการโอบอุ้มอยู่ตลอด
– ตอนนี้คุณได้อุ้มลูกขึ้นมาแล้ว และคุณก็อุ้มลูกไปไหนมาไหนได้ วิธีการทั่ว ๆ ไปในการอุ้มเด็กทารกเกิดใหม่คือ การเอาตัวลูกไว้ใกล้หัวใจคุณและให้หัวลูกได้พักอยู่ที่ไหล่ของคุณ อย่าลืมประคองคอของลูกด้วยมือหนึ่งข้าง ส่วนมืออีกข้างก็รองรับไว้ที่ก้นของลูก
– อย่างไรก็ตาม มีวิธีในการอุ้มลูกอยู่มากกว่าหนึ่งวิธี และเมื่อลูกอายุมากขึ้น ลูกจะต้องการการประคับประคองส่วนสันหลังจากคุณน้อยลง เมื่อลูกอายุได้หกเดือน คุณสามารถอุ้มลูกด้วยมือข้างเดียวได้ หรืออุ้มลูกไปมาด้วยการใช้ผ้าอุ้มเด็ก กระเป๋าอุ้มเด็ก และเบาะนั่งเด็ก

วิธีการอื่น ๆ ในการอุ้มลูก
นับเป็นเรื่องสำคัญเอามาก ๆ ที่คุณต้องอุ้มลูกด้วยวิธีการต่าง ๆ กันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหัวแบน อาการคือลูกจะมีลักษณะตามเหมือนชื่ออาการคือ หัวแบนหรือเบี้ยว เพราะอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป
ทารกเกิดมาพร้อมกับหลังที่โค้งงอ ดังนั้นกระดูกสันหลังของลูกจะต้องเหยียดตรงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนถัดมา กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากคุณอุ้มลูกอย่างถูกต้อง คุณกำลังช่วยกระบวนการดังกล่าวนี้ได้อย่างมากเลยล่ะ

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

อาการโรคกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré syndrome)


กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร[1] หรือ กลุ่มอาการกีแยง-บาร์เร[2] (อังกฤษGuillain–Barré syndrome) เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune disorder) อย่างหนึ่งซึ่งเกิดกับระบบประสาทส่วนปลาย ส่วนใหญ่ถูกกระตุ้นโดยการอักเสบติดเชื้อเฉียบพลัน กลุ่มอาการนี้ตั้งชื่อตามแพทย์ชาวฝรั่งเศสชื่อ Guillain, Barré และ Strohl ซึ่งได้อธิบายกลุ่มอาการนี้ไว้ในปี ค.ศ. 1961 บางครั้งเรียกว่าอาการชาแบบแลนดรี (Landry's paralysis) ตามแพทย์ชาวฝรั่งเศสที่ได้อธิบายโรคคล้ายกันนี้ไว้ในปี ค.ศ. 1859 โรคนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มพยาธิสภาพของเส้นประสาทส่วนปลาย (peripheral neuropathy) กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ส่วนใหญ่เมื่อกล่าวถึงกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรจะหมายถึงประเภทที่พบบ่อยที่สุด คือประเภทที่มีพยาธิภาพของเส้นประสาทหลายเส้นแบบทำลายไมอิลินโดยการอักเสบเฉียบพลัน หรือเอไอดีพี (acute inflammatory demyelinating polyneuropathy, AIDP) กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรเป็นโรคที่พบน้อยโดยมีอุบัติการณ์อยู่ที่ 1-2 ต่อ 100,000 ประชากร[3] ส่วนใหญ่อาการมักรุนแรงและปรากฏเป็นอาการอ่อนแรงแบบเป็นจากปลายมาหาต้น (ascending paralysis) โดยมีอาการอ่อนแรงของขา ค่อยๆ ลามมายังแขนและใบหน้าพร้อมกับการหายไปของรีเฟลกซ์เอ็นลึก (deep tendon reflex) หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีด้วยการเปลี่ยนน้ำเลือด (plasmapheresis) หรือการให้อิมมูโนกลอบูลินทางหลอดเลือดดำ (intravenous immunoglobulin) ร่วมกับการรักษาประคับประคอง (supportive treatment) แล้วผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ อย่างไรก็ดีหากมีภาวะแทรกซ้อนทางปอดรุนแรงหรือมีความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติแล้วอาจเสียชีวิตได้[4] กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเป็นอัมพาตที่ไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บ

สาเหตุ

กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรทุกรูปแบบเกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านแอนติเจนจากภายนอก (เช่น เชื้อโรค) แต่ภูมิคุ้มกันที่สร้างกลับไปทำลายเนื้อเยื่อประสาทของผู้ป่วยแทน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "molecular mimicry" เป้าหมายที่ถูกระบบภูมิคุ้มกันทำลายเชื่อว่าเป็นสารประกอบที่พบได้เป็นปริมาณมากในเนื้อเยื่อประสาทส่วนปลายของมนุษย์ชื่อว่า แกงกลิโอไซด์(ganglioside) เชื้อโรคที่ชักนำให้เกิดภาวะผิดปกติทางภูมิคุ้มกันดังกล่าวที่พบบ่อยที่สุดคือเชื้อแบคทีเรีย Campylobacter jejuni[5][6] รองลงมาคือเชื้อไซโตเมกาโลไวรัส (cytomegalovirus; CMV) [7]อย่างไรก็ตามมีจำนวนผู้ป่วยร้อยละ 60 ที่ไม่พบว่าเกิดจากการติดเชื้อใดนำมาก่อน ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดการกระตุ้นจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ หรือจากปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่[8] พบว่ามีอุบัติการณ์ของกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรเพิ่มขึ้นหลังจากการให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ในช่วงระหว่างการเกิดโรคไข้หวัดหมูระบาดทั่วในปี ค.ศ. 1976-1977[9] แต่จากการศึกษาทางระบาดวิทยาในภายหลังพบว่าการให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีอัตราเสียงที่จะชักนำให้การเกิดกลุ่มอาการนี้เพิ่มขึ้นน้อยมาก (คือเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 1 รายในการให้วัคซีน 1 ล้านคน) หรือแทบไม่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเลย[10][11]
ผลจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันเข้ามาทำลายเนื้อเยื่อประสาทส่วนปลาย ทำให้เยื่อไมอีลินซึ่งเป็นปลอกไขมันหุ้มรอบเส้นประสาทเสียหาย และทำให้การส่งกระแสประสาทถูกหยุดชะงัก และทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต และอาจพบร่วมกับความรู้สึกสัมผัสและประสาทอัตโนมัติถูกรบกวน
ในรายที่เป็นไม่มาก แอกซอนของเส้นประสาท (ส่วนนำประสาทขาออกของเซลล์ประสาท) จะยังทำงานได้และกลับสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็วถ้าเยื่อไมอีลินถูกซ่อมแซมได้เป็นปกติ ในรายที่มีอาการมากแอกซอนอาจเสียหาย และการฟื้นสภาพต้องขึ้นกับการซ่อมแซมของเยื่อไมอีลิน ประมาณร้อยละ 80 ของผู้ป่วยจะสูญเสียเยื่อไมอีลินไป อีกร้อยละ 20 จะสูญเสียแอกซอน
กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรแตกต่างจากกลุ่มอาการอื่นๆ เช่นโรคมัลติเพิล สเกลอโรซิส (multiple sclerosis; MS) หรือ อะไมโอโทรฟิก แลเทอรัล สเกลอโรซิส (Amyotrophic lateral sclerosis; ALS) ตรงที่กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรเป็นโรคที่เกิดกับระบบประสาทส่วนปลาย และโดยทั่วไปแล้วจะไม่ทำความเสียหายต่อสมองหรือไขสันหลัง

ระบาดวิทยา

อุบัติการณ์ของกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรทั่วโลก ประมาณ 0.6-4 ต่อประชากร 100,000 คนต่อปี ผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง 1.5 เท่า อุบัติการณ์เพิ่มขึ้นตามอายุ ในผู้อายุต่ำกว่า 30 ปีพบประมาณ 1 รายต่อประชากร 100,000 คน และผู้อายุสูงกว่า 75 ปีพบประมาณ 4 รายต่อประชากร 100,000 คน[12] อุบัติการณ์ในระหว่างตั้งครรภ์ประมาณ 1.7 รายต่อประชากร 100,000 คน[13] มีรายงานผู้ป่วยกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรแต่กำเนิดและในระยะแรกเกิด

5 นิสัยไม่ดีของพ่อแม่ที่อาจทำให้ลูกเป็นหวัดได้ง่าย

1. ไม่ยอมล้างมือ

       การที่เด็กๆ (หรือแม้แต่ผู้ใหญ่เอง) หมั่นล้างมือบ่อยๆ นั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยป้องกันโรคไข้หวัดค่ะ ก่อนรับประทานอาหาร ก่อนการเตรียมอาหาร ก่อนที่จะสัมผัสกับทารก หลังการไอการจาม หลังออกจากห้องน้ำ หลังจากเล่นกับสัตว์เลี้ยง หลังจากอยู่ใกล้ชิดกับคนป่วย หรือเมื่อใดก็ตามที่มือสกปรก แนะนำว่าการล้างน้ำด้วยการสะบัดมือเร็วๆ ไม่ได้ช่วยให้มือสะอาดเท่าไรนัก วิธีการที่ถูกต้องคือล้างมือด้วยการถูสบู่อย่างน้อย 20 วินาที (เคล็ดลับบอกเด็กๆ ง่ายๆ คือ ระยะเวลาให้ร้องเพลง Happy Birthday จนจบ) อย่าลืมล้างซอกเล็บ ถูหน้ามือหลังมือ ไปจนถึงข้อมือ ก่อนจะล้างน้ำออก และเช็ดมือให้แห้ง ถ้าอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีอ่างล้างมือ ก็ให้ใช้เจลล้างมือแทนได้ค่ะ

2. ไม่ไปฉีดวัคซีน


ไม่มีวัคซีนไหนที่จะป้องกันโรคหวัดได้ แต่ถึงยังไงเด็กๆ ที่อายุเกิน 6 เดือนก็ควรจะได้รับวัคซีน

3. ไอและจามไม่ปิดปาก

คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้เด็กๆ ใช้กระดาษทิชชู่ปิดปากปิดจมูกเมื่อพวกเขาไอหรือจาม และทิ้งกระดาษทิชชู่ที่ใช้แล้วนั้นลงถัง แต่ถ้าไม่มีกระดาษทิชชู่อยู่ใกล้มือล่ะ ให้ใช้แขนบริเวณข้อต่อกับข้อศอกยกขึ้นปิดปากแทน สมาคมกุมารแพทย์อเมริกาแนะนำว่า ถ้าเป็นไปได้อย่าเข้าใกล้ผู้ใหญ่หรือเด็กที่กำลังไอหรือจาม หรือเมื่อใดที่ลูกของคุณเป็นหวัด ก็ควรพักผ่อนอยู่บ้านเช่นกันค่ะ


4. มือไวจับทุกอย่าง

เพื่อที่จะจำกัดการติดเชื้อโรค เด็กๆ ไม่ควรเอามือขยี้ตา จับปาก หรือจมูกของตัวเอง และหากว่าอยู่ในที่สาธารณะก็ไม่ควรหยิบจับของที่ไม่แน่ใจว่าสะอาดปลอดเชื้อโรคหรือไม่ เช่น ราวบันไดเลื่อนในห้างสรรพสินค้าหรือในโรงพยาบาล เป็นต้น


5. การใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น

คุณพ่อคุณแม่ควรย้ำกับลูกๆ ว่าไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้า กระดาษชำระ ช้อนส้อม แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว หรือของใช้ส่วนตัว น้ำดื่ม รวมไปถึงอาหารที่ไม่ได้ใช้ช้อนกลาง ร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่โรคหวัดระบาด