Translate

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

วิธีทำให้ลูกฉลาด: ตั้งแต่ในครรภ์ถึงวัยคลาน

มีวิธีเสริมสร้างพัฒนาการและสมองของลูกน้อยมากมายที่คุณแม่มือใหม่ควรทราบ ลองมาดูวิธีต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ลูกน้อยของคุณเติบโตอย่างสมวัยและฉลาด ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ไปจนถึงกิจกรรมและเกมต่าง ๆ ที่คุณสามารถนำไปเล่นกับทารกได้


กระตุ้นสมองลูกน้อยตั้งแต่ในครรภ์
สมองของทารกจะเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็วระหว่างที่อยู่ในครรภ์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการดูแลครรภ์ตลอดระยะเวลา 9 เดือนจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง งานวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่าการดูแลรักษาสุขภาพ เช่นการหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเคมีอันตราย หรือการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ จะสามารถช่วยในการเจริญเติบโตของสมองของทารกได้เป็นอย่างดี

ผลการศึกษาระบุว่าอาหารเหล่านี้สามารถช่วยเสริมสร้างสมองของทารกได้:
  • กรดไขมันโอเมกา 3พบใน เมล็ดป่าน หรือน้ำมันเมล็ดป่าน และไข่บางชนิด (ลองมองหาฉลากโอเมก้า 3) โอเมก้า 3 เป็นสารอาหารที่ช่วยกระตุ้นสมองชั้นเลิศ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าทารกจะได้คะแนนในการทดสอบสมองสูงกว่าหากคุณแม่ได้กินโอเมก้า 3 ระหว่างตั้งครรภ์
  • โปรตีน: ระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณจะทำงานหนักเพื่อที่จะพยายามสร้างสมองของทารก ซึ่งเป็นกระบวนการที่จำเป็นต้องใช้โปรตีนสูง คุณสามารถกินอาหาร เช่น ขนมปังทาเนยถั่ว หรือ สมูทตี้โยเกิร์ต (น้ำตาลต่ำ) เพื่อช่วยเสริมโปรตีนได้
  • ธาตุเหล็ก: เป็นสารอาหารที่สำคัญที่จะช่วยลำเลียงออกซิเจนไปยังสมองของทารกในครรภ์ คุณจึงควรกินอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กเช่น ผักโขม เนื้อไก่ไม่ติดมัน และพืชจำพวกถั่ว แพทย์อาจแนะนำให้คุณกินธาตุเหล็กเสริมควบคู่ไปด้วย
  • สารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในอาหารเช่น บลูเบอร์รี่ มะละกอ ผักโขม อาร์ติโชค มะเขือเทศ ถั่วแดงจะช่วยปกป้องเนื้อเยื่อสมองของทารก
หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการที่จะช่วยเสริมสร้างสมองของลูกน้อย คุณสามารถลองขอคำแนะนำจากแพทย์เพิ่มเติม


วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กแรกเกิด
คุณสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางสมองของลูกน้อยได้ตั้งแต่แรกเกิด สมองของทารกแรกเกิดจะมีขนาดประมาณ 25% ­ของสมองผู้ใหญ่ และจะเติบโตขึ้นเป็น 75% เมื่ออายุ 2 ขวบ ซึ่งถือเป็นพัฒนาการช่วงสำคัญของสมอง นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการกระตุ้นสมองจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเด็กในช่วงขวบวัยนี้

วิธีที่ดีที่สุดคือการให้ลูกได้ลองทำกิจกรรมหลากหลาย แต่คุณไม่จำเป็นต้องอัดกิจกรรมให้ลูกจนแน่น แค่ให้เขาได้ลองทำอะไรง่าย ๆ พื้น ๆ ที่เหมาะสมกับวัย อาทิ:
–          โมบายแขวน หรือ การ์ดรูปภาพ
–          ดนตรีเบา ๆ ฟังสบาย ๆ
–          นมแม่คือแหล่งอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกซึ่งช่วยในการพัฒนาสมอง มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งชี้ว่านมแม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับสติปัญญาของเด็ก
–          เข้าไปใกล้ ๆ เวลาพูดคุยกับเขาเพื่อให้เขาเห็นคุณชัดขึ้น
–          ทารกมักชอบให้คุณอยู่ใกล้ชิด พยายามกอด หอม สัมผัสเขาบ่อย ๆ หรือแม้แต่การใช้โทนเสียงต่าง ๆ กันเวลาอ่านนิทาน
–          จับลูกคว่ำวันละ 2-3 นาที เพื่อให้เขาได้ฝึกทักษะการเคลื่อนไหว ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมอง

วิธีเสริมสร้างสมองสำหรับเด็กทารก
เมื่อลูกน้อยเริ่มโตขึ้น คุณสามารถลองให้เขาทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้มากขึ้น สมองของทารกจะพัฒนาเมื่อเขาได้เรียนรู้เสียงจากสิ่งของต่าง ๆ เช่นเสียงจากของเล่น หรือช้อนส้อม ฯลฯ การมองลูกบอลกลิ้งและพยายามจะจับลูกบอลก็ช่วยพัฒนาสมองเช่นกัน ลองปรับเปลี่ยนเวลาการเล่นและกิจกรรมต่าง ๆ ตามความเหมาะสม คุณอาจอยากลองกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้:
–          เปิดดนตรีหลาย ๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็นดนตรีคลาสสิกไปจนถึงเพลงร็อค แต่อย่าเปิดเพลงดังเกินไป
–          ลองให้ลูกได้สัมผัสพื้นผิว มองสีสัน และฟังเสียงต่าง ๆ พาเขาออกไปเดินเล่นนอกบ้าน เปลี่ยนของเล่น หนังสือ หรือแม้แต่สื่อโสตทัศน์ต่าง ๆ เพื่อให้เขาได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย
–          บล็อกตัวต่อเป็นของเล่นที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของสมองชั้นเยี่ยม
–          การดูแลใกล้ชิดก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาของเด็ก พยายามอยู่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุด ร้องเพลง คุยกับเขา กอดเขาบ่อย ๆ
อย่าลืมว่าแม้คุณอาจไม่สามารถซื้อของเล่นแพง ๆ ให้ลูก สิ่งสำคัญคือคุณควรใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากที่สุด เพราะนั่นคือปัจจัยที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูกน้อยที่สำคัญที่สุด

มีเซ็กซ์ 9 ท่าที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์

เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ คู่รักมักกังวลว่าการมีเซ็กซ์จะปลอดภัยสำหรับลูกในท้องหรือไม่ คุณหมอมักแนะนำให้งดกิจกรรมดังกล่าวในระยะเดือนแรก ๆ ของอายุครรภ์ แต่ในทางการแพทย์แล้วการมีเซ็กซ์นั้น มีผลดีมากมายกับแม่และสุขภาพการตั้งครรภ์


การตั้งครรภ์ไม่ใช่อุปสรรคของการมีเซ็กซ์
การมีเซ็กซ์โดยทั่วไปถือว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างความสุข เป็นการสนองความต้องการของร่างกายและจิตใจของคู่รัก เป็นการแสดงความรัก ความผูกพันวิธีหนึ่ง และอย่างที่รู้กันโดยทั่วไปคือ ช่วยเผาผลาญพลังงานได้อย่างดี ทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตคล้ายการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้น ยิ่งมีข้อดีหลายอย่างเพิ่มเติม เช่น ช่วยให้ผ่อนคลาย เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในช่วงอายุครรภ์ 4-6 เดือน จริง ๆ แล้วคู่รักสามารถทำกิจกรรมดังกล่าวได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ
การมีเซ็กซ์ในระหว่างที่ผู้หญิงตั้งครรภ์นั้นได้รับการสนับสนุนในทางการแพทย์ เมื่อสภาวะการตั้งครรภ์ของคุณปกติดี ในขณะที่ขนาดของครรภ์อาจเป็นอุปสรรคหรือทำให้คู่รักกังวลใจได้ การเลือกท่าของการมีเซ็กซ์จึงมีส่วนสำคัญเพื่อความปลอดภัย ความสุข และความพึงพอใจมากขึ้น ทั้งนี้ในแต่ละท่าก็ขึ้นอยู่กับสรีระ และความพึงพอใจของแต่ละบุคคลค่ะ
1. ท่าช้อน หรือ spooning เหมือนการนอนโอบกอดกันนั่นเอง โดยผู้หญิงหันหลังแนบกับแผ่นอกของผู้ชาย และการที่ผู้ชายอยู่ด้านหลัง ทำให้ลดความอึดอัดจากขนาดของครรภ์ และทำให้การเสียดสีและการสอดใส่จากด้านข้างหรือด้านหลังดีและลึกขึ้น ช่วยให้สบายและผ่อนคลายทั้งสองฝ่าย
2. ผู้หญิงอยู่ด้านบน หรือ Woman on Top โดยนั่งคร่อมลำตัวของผู้ชาย หรือนั่งคุกเข่า ใช้เข่าและขารับน้ำหนักตัว หรือใช้มือทั้งสองช่วย เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหว ดูเหมือนจะเป็นท่าที่ปลอดภัยที่สุดท่าหนึ่ง และเป็นท่าที่ขนาดของครรภ์ไม่เป็นอุปสรรคอย่างแน่นอน
3. ท่า Reversed Cowgirl เช่นเดียวกับท่าที่ผู้หญิงอยู่ด้านบน แต่ผู้หญิงหันหน้าไปทางปลายเท้าของผู้ชาย
4. ใช้เก้าอี้ช่วย โดยที่คุณนั่งบนเก้าอี้ และฝ่ายชายคุกเข่า ให้เก้าอี้ที่ใช้มีความสูงกว่าฝ่ายชายเพื่อตำแหน่งที่เหมาะสม และไม่เมื่อยเกินไป
5. ท่ากรรไกร หรือท่า Scissors ผู้เชี่ยวชาญแนะนำท่านี้ เนื่องจากคู่รักต้องกางขาออก ขนาดของครรภ์จึงไม่เป็นอุปสรรคเลย และทำให้การเคลื่อนไหวไม่รุนแรงเกินไป
6. ใช้หมอนช่วยเมื่อขนาดของครรภ์เป็นอุปสรรค การใช้หมอนหนุนหลังเมื่อทำท่านอนหงายธรรมดาช่วยได้อย่างดีที่เดียวค่ะ
7. ใช้ขอบเตียงหรือมุมเตียงนอนช่วย โดยที่ฝ่ายชายคุกเข่าหรือยืนที่พื้น ผู้หญิงนอนหงายบนเตียง
8. ผู้หญิงคุกเข่าบนที่นอนหรือเก้าอี้โซฟา โดยที่แขนและศรีษะอยู่บนที่นอน หรือท้องพักตรงพนักพิงของเก้าอี้โซฟาโดยมือจับขอบเก้าอี้โซฟาไว้ ใช้แขนและมือช่วยรับน้ำหนัก ผู้ชายคุกเข่าหรือยืนที่พื้นอยู่ด้านหลังเช่นกัน
9. ท่า Policeman หรือท่าที่ผู้หญิงยืนหันหน้าเข้าฝาผนัง ใช้มือยันรับน้ำหนักกับผนัง โดยผู้ชายยืนอยู่ด้านหลัง

การร่วมรักหลังคลอดแล้ว ควรระวังเนื่องจากระดับฮอร์โมนคุณผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และร่างกายก็ต้องการการฟื้นฟูและการพักผ่อน รวมทั้งการที่ต้องให้นมลูก คุณหมอส่วนใหญ่จึงแนะนำให้รอประมาณ 6 สัปดาห์หลังคลอด ที่สำคัญอีกอย่างคืออย่าลืมป้องกันถ้าคุณวางแผนที่จะทิ้งระยะเวลาห่างการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป

เราต้องทำอย่างไรไม่ให้ลูกน้อยหัวแบน

อีกหนึ่งเรื่องกังวลของพ่อแม่มือใหม่คงหนีไม่พ้นเรื่องอยากให้ลูกหัวสวย หัวทุย หัวไม่แบน แต่ปัจจุบันเด็กหัวแบนกันมากขึ้น เนื่องจากทางการแพทย์แล้วแนะนำให้เด็กทารกนอนหงายมากกว่านอนคว่ำ เพื่อป้องกันภาวะ SIDS (Sudden Infant Death Syndrome) หรือโอกาสที่เด็กจะเสียชีวิตขณะนอนหลับ


ทำอย่างไรไม่ให้ลูกน้อยหัวแบน
ทำอย่างไรไม่ให้ลูกน้อยหัวแบน
อีกหนึ่งเรื่องกังวลของพ่อแม่มือใหม่คงหนีไม่พ้นเรื่องลูกอยากให้ลูกหัวสวย หัวทุย หัวไม่แบน แต่ปัจจุบันเด็กหัวแบนกันมากขึ้น เนื่องจากทางการแพทย์แล้วแนะนำให้เด็กทารกนอนหงายมากกว่านอนคว่ำ  เพื่อป้องกันภาวะ SIDS (Sudden Death Syndrome) หรือโอกาสที่เด็กจะเสียชีวิตขณะนอนหลับ
สาเหตุของการหัวแบนเนื่องมาจากกระดูกของเด็กแรกเกิดเป็นกระดูกที่มีความอ่อน หากนอนทับอยู่ในตำแหน่งเดิมตลอดเวลาก็จะทำให้กะโหลกศีรษะของเด็กแบนได้ อย่างไรก็ดีภาวะหัวแบนไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด (ส่งผลกับความสวยงามของรูปศีรษะเท่านั้น)
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่อยากให้ลูกหัวแบนมีคำแนะนำง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
วิธีป้องกันลูกหัวแบน
  1. จัดท่านอนให้ลูกตะแคงข้าง สลับข้างไปมาซ้ายบ้าง ขวาบ้าง
  2. ให้ลูกนอนคว่ำ หัวสวยแน่นอน แต่ก็ค่อนข้างอันตรายในเด็กสามเดือนแรก เพราะอาจทำให้เด็กขาดอากาศหายใจ ถ้าจับลูกนอนคว่ำ พ่อแม่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด อย่าให้มีหมอนหรือสิ่งของอื่นๆ อุดจมูกลูก
  3. ถ้าลูกไม่ยอมนอนคว่ำให้หาหมอนหลุมมาให้ลูกนอน
  4. ช่วงที่ลูกตื่นอย่าให้ลูกอยู่ในท่านอนหงายเพียงอย่างเดียว ให้ลูกอยู่ในท่าอื่นๆ ด้วย เช่น คว่ำชันนคอ ตะแคงหรืออุ้มลูกขึ้นมา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม
  5. ไม่ควรให้นอนในคาร์ซีท หรือรถเข็นเด็กนานเกินไป
  6. การอุ้มลูกก็ควรสลับข้างไปมาซ้ายขวาเช่นกัน
  7. ถ้าจะอุ้มลูกไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือพาออกไปข้างนอก ก็ควรใช้เป้อุ้มเด็ก เพื่อให้คอและหัวของลูกเป็นอิสระ

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

ประโยชน์ต้นอ่อนทานตะวัน

                 
                                                 เมล็ดทานตะวันงอก มากมายด้วยคุณค่าทางอาหารเมล็ดธัญพืชงอก ถือเป็นอาหารที่มีการนำมาบริโภคกันมานาน  ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือถั่วงอก   ซึ่งเป็นผลผลิตมาจากถั่วเขียว  โดยถั่วงอกมีการนำมาทำเป็นเมนูอาหารได้อย่างหลากหลาย  ไม่ว่าจะเป็นผัด  ต้ม  หรือทานสดๆและที่โด่งดังกันสุดๆ    คือ ข้าวกล้องงอกที่อุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย   ไม่ว่าจะเป็นสาร    GABA (gamma aminobotyric acid) ที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน ช่วยมนการควบคุมน้ำหนักตัว และที่สำคัญช่วยบำรุงเซลล์ประสาท ทำให้สมองเกิดการผ่อนคลาย ป้องกันการทำลายสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสูญเสียความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์นั่นเอง รวมไปถึงสารอาหารอื่นๆ เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก (Phytic acid) วิตามินซี วิตามินอี ล่าสุดมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเมล็ดธัญพืชอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเรารู้จักกันเป็นอย่างดี นั่นคือ “ทานตะวัน” แต่ที่ผ่านมานั้นเรารู้จักประโยชน์ของเมล็ดทานตะวันของพืชที่มีดอกใหญ่ มีการสกัดน้ำมันจากเมล็ดโดยน้ำมันดอกทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงสามารถนำไปใช้ในการฟอกหนัง และประกอบอาหาร แต่ข้อมูลจากการศึกษาและวิจัยพบว่า ต้นอ่อนของเมล็ดทานตะวัน มีโปรตีนสูงกว่าถั่วเหลือง มีวิตามินเอ และวิตามินอีสูง บำรุงสายตา ผิวพรรณและชะลอความชรา มีวิตามิน บี 1 บี 6 โอเมก้า 3 โอเมก้า 6 โอเมก้า 9 ซึ่งช่วยบำรุงเซลล์สมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อม (อัลไซเมอร์) และธาตุเหล็กสูงนอกจากนี้ต้นอ่อนทานตะวัน ยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกหลายตัวตัวด้วยกัน เช่น วิตามินเอ วิตามินอี โปรตีน ฯลฯ ต้นอ่อนทานตะวันจึงเหมาะในการนำมาปรุงเป็นอาหารสุขภาพอีกชนิดหนึ่ง โดยเมนูอาหารก็สามารถทำได้เหมือนถั่วงอก ไม่ว่าจะเป็น ผัด ต้ม ใส่ก๋วยเตี๋ยว

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

โภชนาการสำหรับแม่ที่ให้นมลูก


โภชนาการที่ดีและพอเพียงสำหรับลูก

แม่ที่ให้นมลูกต้องมีโภชนาการที่เหมาะสม เป็นสารอาหารที่ให้แคลอรีเพิ่มขึ้นจากปกติอย่างน้อย 500 แคลอรีจึงจะพอเพียงสำหรับทั้งแม่และลูก


เลี่ยงอาหารที่ส่งผลเสียต่อลูกน้อย

มีอาหารหลายอย่างมากที่อาจทำให้ลูกคุณไม่สบายตัว เช่น ช็อกโกแลต กระเทียม พริก ผลไม้พวกส้ม ผักกาด เป็นต้น ถ้าคุณสังเกตเห็นว่าลูกคุณมีอาการผิดปกติหลังจากคุณทานอาหารเข้าไป ลองงดอาหารนั้น ๆ เพื่อดูอาการของลูกคุณ เพราะเด็กแต่ละคนมีการตอบสนองต่ออาหารแต่ละอย่างแตกต่างกันไป


วิตามินเอ

อาหารที่ให้วิตามินเอ ได้แก่ ผักสด ถั่วแอลมอนด์ ถั่วเฮเซลนัท ผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว และเนื้อสัตว์ ร่างกายคุณต้องการวิตามินเอเพิ่มจาก 1,000 มิลลิกรัมเป็น 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณได้รับวิตามินเอย่างพอเพียงต่อวันจากแหล่งอาหารที่กล่าวมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทานวิตามินเอในรูปของอาหารเสริมอีก


กรดไขมันโอเมกา 3

กรดไขมันโอเมกา 3 เป็นสารอาหารที่ขาดไม่ได้ในโภชนาการสำหรับแม่ที่ให้นมลูก เพราะ สารตัวนี้มี ดีเอชเอที่ช่วยพัฒนาสมองของลูก กรดไขมันโอเมกา 3 มีในอาหาร ถั่วต่าง ๆ และยังมีในพวกอาหารเสริมอีกด้วย


ดื่มน้ำให้มาก

อย่าให้ร่างกายของคุณขาดน้ำเพราะน้ำเป็นตัวช่วยสร้างน้ำนม ถ้าคุณไม่ชอบดื่มน้ำ คุณก็ทานผักผลไม้ที่ให้น้ำมาก ๆ ดื่มนมหรือน้ำผลไม้ ซุปต่าง ๆ ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบก็จะช่วยทดแทนได้


ทานให้มากกว่าเดิม

ไม่ว่าในระหว่างตั้งครรภ์หรือระหว่างให้นมลูก คุณกำลังทานเพื่อคน 2 คน คือคุณและลูก ดังนั้นปริมาณอาหารที่คุณควรได้รับจึงต้องมากพอสำหรับ 2 คน โภชนาการที่ดีสำหรับแม่ช่วยให้ร่างกายคุณผลิตน้ำนมที่มีคุณภาพแก่ลูกน้อย และยังสร้างเสริมซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอของคุณไปในตัวด้วย


อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

อาหารที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงคือ อาหารที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์และนิโคติน สารพวกนี้เป็นอันตรายต่อพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจของลูกน้อย แม้ว่าหมอบางท่านจะอนุญาตให้คุณจิบไวน์หรือเบียร์ได้บ้าง แต่ทางที่ดีที่สุดคือ งดเว้นไปเลยเพื่อลูกน้อยของคุณ


ทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

แม่ที่ตั้งใจให้นมลูกต้องเตรียมสุขภาพร่างกายให้พร้อมตั้งแต่ก่อนคลอดให้สมบูรณ์เต็มที่ ได้รับสารอาหารทั้งโปรตีน วิตามิน แคลอรี และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตเต็มที่ของลูกน้อย แหล่งอาหารที่ให้แคลเซียมมีใน นม ชีส และโยเกิร์ต เป็นต้น นอกจากนี้สารอาหารจากผักผลไม้เกษตรอินทรีย์ (ออร์แกนิค) และธัญพืชก็มีส่วนสำคัญที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่ลูกน้อยของคุณ แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำว่าอาหารเสริมเช่นโฟลิคหรือแร่สังกะสีจำเป็นหรือไม่สำหรับคุณแม่ที่ให้นมลูกเอง

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

คุณอุ้มลูกถูกวิธีรึเปล่า?

นับจากนาทีที่ลูกน้อยเกิดขึ้นมา ลูกก็อยากได้รับการโอบอุ้มที่ใกล้ชิดที่สุดและบ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พ่อแม่ที่ยังเป็นมือใหม่อยู่คุณมั่นใจหรือไม่ว่าคุณอุ้มลูกถูกวิธีอยู่ เรามาจะเช็คกัน



mom carry baby smile คุณอุ้มลูกถูกวิธีรึเปล่า?
วิธีการอุ้มลูกให้ถูกต้อง
เมื่อพ่อแม่ได้อุ้มลูก สัมผัสจากผิวกายต่อผิวกายนี้เองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ความอบอุ่นกับทารก ช่วยควบคุมการหายใจ และช่วยทำให้ลูกผ่อนคลาย
เมื่อคุณพาลูกกลับมาบ้าน คุณต้องใช้เวลามากมายอุ้มลูก ไม่ใช่แค่เพื่อให้ลูกรู้สึกสบาย แต่เป็นการเคลื่อนย้ายลูกจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ใช้เวลาในแต่ละวันอุ้มลูกอยู่ใกล้ ๆ และทำความรู้จักกับลูกให้มากขึ้น ให้เพื่อน ๆ และครอบครัวของคุณได้อุ้มทารกไว้ ให้ลูกได้สร้างความผูกพันกับคนสำคัญในชีวิตของคุณตั้งแต่ลูกยังอายุน้อย ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม คุณต้องจำไว้ว่า ทารกเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ที่แสนเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพ่อแม่มือใหม่ หากคุณไม่เคยใช้เวลากับเด็กทารกมากเพียงพอ คุณอาจรู้สึกการอุ้มทารกเป็นเรื่องน่ากลัวก็ได้ ไม่ต้องคิดเรื่องอุ้มเด็กไปไหนต่อไหนเลย คุณผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเงอะงะงุ่มง่ามในครั้งแรกที่อุ้มเด็กเพราะยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน คอของเด็กทารกมีขนาดเล็กและไม่ต่างอะไรกับลูกนกแรกเกิด นั่นก็คือ อ่อนแอและประคองตัวเองไม่ได้ในระยะสัปดาห์แรก ๆ ดังนั้นก่อนที่คุณจะอุ้มลูกไปไหนต่อไหน จำเอาไว้ว่า คุณต้องอุ้มลูกให้ถูกวิธีเสียก่อน

วิธีการอุ้มลูก
ความเปราะบางของเด็กทารกเป็นสิ่งที่น่ากลัวอยู่ไม่น้อยในช่วงแรก แต่เรามีเคล็ดลับบางอย่างมาให้คุณได้เรียนรู้อุ้มลูกน้อยให้ถูกวิธีดังนี้
– ก่อนยกตัวลูกขึ้นมา พูดคุยกับลูกก่อนให้ลูกได้รับรู้ว่าคุณอยู่ตรงนั้น คุณคงไม่อยากทำให้ลูกตกใจหรอกนะ
– ประคองคอน้อย ๆ และหัวของลูกอย่างระมัดระวังเวลาคุณอุ้มลูกขึ้นมา คุณต้องแน่ใจว่าส่วนหัวของลูกได้รับการโอบอุ้มตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนที่คุณจะวางลูกลง
– หากลูกกำลังนอนคว่ำหน้าอยู่ ค่อย ๆ สอดแขนข้างหนึ่งเข้าไปรองรับที่ใต้คางและคอ แล้วค่อย ๆ สอดแขนอีกข้างรอบ ๆ สะโพกของลูก จากนั้นคุณก็จะสามารถกลับด้านลูกได้ในขณะที่ลูกยังคงได้รับการโอบอุ้มอยู่ตลอด
– ตอนนี้คุณได้อุ้มลูกขึ้นมาแล้ว และคุณก็อุ้มลูกไปไหนมาไหนได้ วิธีการทั่ว ๆ ไปในการอุ้มเด็กทารกเกิดใหม่คือ การเอาตัวลูกไว้ใกล้หัวใจคุณและให้หัวลูกได้พักอยู่ที่ไหล่ของคุณ อย่าลืมประคองคอของลูกด้วยมือหนึ่งข้าง ส่วนมืออีกข้างก็รองรับไว้ที่ก้นของลูก
– อย่างไรก็ตาม มีวิธีในการอุ้มลูกอยู่มากกว่าหนึ่งวิธี และเมื่อลูกอายุมากขึ้น ลูกจะต้องการการประคับประคองส่วนสันหลังจากคุณน้อยลง เมื่อลูกอายุได้หกเดือน คุณสามารถอุ้มลูกด้วยมือข้างเดียวได้ หรืออุ้มลูกไปมาด้วยการใช้ผ้าอุ้มเด็ก กระเป๋าอุ้มเด็ก และเบาะนั่งเด็ก

วิธีการอื่น ๆ ในการอุ้มลูก
นับเป็นเรื่องสำคัญเอามาก ๆ ที่คุณต้องอุ้มลูกด้วยวิธีการต่าง ๆ กันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหัวแบน อาการคือลูกจะมีลักษณะตามเหมือนชื่ออาการคือ หัวแบนหรือเบี้ยว เพราะอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป
ทารกเกิดมาพร้อมกับหลังที่โค้งงอ ดังนั้นกระดูกสันหลังของลูกจะต้องเหยียดตรงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนถัดมา กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากคุณอุ้มลูกอย่างถูกต้อง คุณกำลังช่วยกระบวนการดังกล่าวนี้ได้อย่างมากเลยล่ะ

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

อาการโรคกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré syndrome)


กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร[1] หรือ กลุ่มอาการกีแยง-บาร์เร[2] (อังกฤษGuillain–Barré syndrome) เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune disorder) อย่างหนึ่งซึ่งเกิดกับระบบประสาทส่วนปลาย ส่วนใหญ่ถูกกระตุ้นโดยการอักเสบติดเชื้อเฉียบพลัน กลุ่มอาการนี้ตั้งชื่อตามแพทย์ชาวฝรั่งเศสชื่อ Guillain, Barré และ Strohl ซึ่งได้อธิบายกลุ่มอาการนี้ไว้ในปี ค.ศ. 1961 บางครั้งเรียกว่าอาการชาแบบแลนดรี (Landry's paralysis) ตามแพทย์ชาวฝรั่งเศสที่ได้อธิบายโรคคล้ายกันนี้ไว้ในปี ค.ศ. 1859 โรคนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มพยาธิสภาพของเส้นประสาทส่วนปลาย (peripheral neuropathy) กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ส่วนใหญ่เมื่อกล่าวถึงกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรจะหมายถึงประเภทที่พบบ่อยที่สุด คือประเภทที่มีพยาธิภาพของเส้นประสาทหลายเส้นแบบทำลายไมอิลินโดยการอักเสบเฉียบพลัน หรือเอไอดีพี (acute inflammatory demyelinating polyneuropathy, AIDP) กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรเป็นโรคที่พบน้อยโดยมีอุบัติการณ์อยู่ที่ 1-2 ต่อ 100,000 ประชากร[3] ส่วนใหญ่อาการมักรุนแรงและปรากฏเป็นอาการอ่อนแรงแบบเป็นจากปลายมาหาต้น (ascending paralysis) โดยมีอาการอ่อนแรงของขา ค่อยๆ ลามมายังแขนและใบหน้าพร้อมกับการหายไปของรีเฟลกซ์เอ็นลึก (deep tendon reflex) หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีด้วยการเปลี่ยนน้ำเลือด (plasmapheresis) หรือการให้อิมมูโนกลอบูลินทางหลอดเลือดดำ (intravenous immunoglobulin) ร่วมกับการรักษาประคับประคอง (supportive treatment) แล้วผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ อย่างไรก็ดีหากมีภาวะแทรกซ้อนทางปอดรุนแรงหรือมีความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติแล้วอาจเสียชีวิตได้[4] กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเป็นอัมพาตที่ไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บ

สาเหตุ

กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรทุกรูปแบบเกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านแอนติเจนจากภายนอก (เช่น เชื้อโรค) แต่ภูมิคุ้มกันที่สร้างกลับไปทำลายเนื้อเยื่อประสาทของผู้ป่วยแทน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "molecular mimicry" เป้าหมายที่ถูกระบบภูมิคุ้มกันทำลายเชื่อว่าเป็นสารประกอบที่พบได้เป็นปริมาณมากในเนื้อเยื่อประสาทส่วนปลายของมนุษย์ชื่อว่า แกงกลิโอไซด์(ganglioside) เชื้อโรคที่ชักนำให้เกิดภาวะผิดปกติทางภูมิคุ้มกันดังกล่าวที่พบบ่อยที่สุดคือเชื้อแบคทีเรีย Campylobacter jejuni[5][6] รองลงมาคือเชื้อไซโตเมกาโลไวรัส (cytomegalovirus; CMV) [7]อย่างไรก็ตามมีจำนวนผู้ป่วยร้อยละ 60 ที่ไม่พบว่าเกิดจากการติดเชื้อใดนำมาก่อน ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดการกระตุ้นจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ หรือจากปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่[8] พบว่ามีอุบัติการณ์ของกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรเพิ่มขึ้นหลังจากการให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ในช่วงระหว่างการเกิดโรคไข้หวัดหมูระบาดทั่วในปี ค.ศ. 1976-1977[9] แต่จากการศึกษาทางระบาดวิทยาในภายหลังพบว่าการให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีอัตราเสียงที่จะชักนำให้การเกิดกลุ่มอาการนี้เพิ่มขึ้นน้อยมาก (คือเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 1 รายในการให้วัคซีน 1 ล้านคน) หรือแทบไม่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเลย[10][11]
ผลจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันเข้ามาทำลายเนื้อเยื่อประสาทส่วนปลาย ทำให้เยื่อไมอีลินซึ่งเป็นปลอกไขมันหุ้มรอบเส้นประสาทเสียหาย และทำให้การส่งกระแสประสาทถูกหยุดชะงัก และทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต และอาจพบร่วมกับความรู้สึกสัมผัสและประสาทอัตโนมัติถูกรบกวน
ในรายที่เป็นไม่มาก แอกซอนของเส้นประสาท (ส่วนนำประสาทขาออกของเซลล์ประสาท) จะยังทำงานได้และกลับสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็วถ้าเยื่อไมอีลินถูกซ่อมแซมได้เป็นปกติ ในรายที่มีอาการมากแอกซอนอาจเสียหาย และการฟื้นสภาพต้องขึ้นกับการซ่อมแซมของเยื่อไมอีลิน ประมาณร้อยละ 80 ของผู้ป่วยจะสูญเสียเยื่อไมอีลินไป อีกร้อยละ 20 จะสูญเสียแอกซอน
กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรแตกต่างจากกลุ่มอาการอื่นๆ เช่นโรคมัลติเพิล สเกลอโรซิส (multiple sclerosis; MS) หรือ อะไมโอโทรฟิก แลเทอรัล สเกลอโรซิส (Amyotrophic lateral sclerosis; ALS) ตรงที่กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรเป็นโรคที่เกิดกับระบบประสาทส่วนปลาย และโดยทั่วไปแล้วจะไม่ทำความเสียหายต่อสมองหรือไขสันหลัง

ระบาดวิทยา

อุบัติการณ์ของกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรทั่วโลก ประมาณ 0.6-4 ต่อประชากร 100,000 คนต่อปี ผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง 1.5 เท่า อุบัติการณ์เพิ่มขึ้นตามอายุ ในผู้อายุต่ำกว่า 30 ปีพบประมาณ 1 รายต่อประชากร 100,000 คน และผู้อายุสูงกว่า 75 ปีพบประมาณ 4 รายต่อประชากร 100,000 คน[12] อุบัติการณ์ในระหว่างตั้งครรภ์ประมาณ 1.7 รายต่อประชากร 100,000 คน[13] มีรายงานผู้ป่วยกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรแต่กำเนิดและในระยะแรกเกิด

5 นิสัยไม่ดีของพ่อแม่ที่อาจทำให้ลูกเป็นหวัดได้ง่าย

1. ไม่ยอมล้างมือ

       การที่เด็กๆ (หรือแม้แต่ผู้ใหญ่เอง) หมั่นล้างมือบ่อยๆ นั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยป้องกันโรคไข้หวัดค่ะ ก่อนรับประทานอาหาร ก่อนการเตรียมอาหาร ก่อนที่จะสัมผัสกับทารก หลังการไอการจาม หลังออกจากห้องน้ำ หลังจากเล่นกับสัตว์เลี้ยง หลังจากอยู่ใกล้ชิดกับคนป่วย หรือเมื่อใดก็ตามที่มือสกปรก แนะนำว่าการล้างน้ำด้วยการสะบัดมือเร็วๆ ไม่ได้ช่วยให้มือสะอาดเท่าไรนัก วิธีการที่ถูกต้องคือล้างมือด้วยการถูสบู่อย่างน้อย 20 วินาที (เคล็ดลับบอกเด็กๆ ง่ายๆ คือ ระยะเวลาให้ร้องเพลง Happy Birthday จนจบ) อย่าลืมล้างซอกเล็บ ถูหน้ามือหลังมือ ไปจนถึงข้อมือ ก่อนจะล้างน้ำออก และเช็ดมือให้แห้ง ถ้าอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีอ่างล้างมือ ก็ให้ใช้เจลล้างมือแทนได้ค่ะ

2. ไม่ไปฉีดวัคซีน


ไม่มีวัคซีนไหนที่จะป้องกันโรคหวัดได้ แต่ถึงยังไงเด็กๆ ที่อายุเกิน 6 เดือนก็ควรจะได้รับวัคซีน

3. ไอและจามไม่ปิดปาก

คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้เด็กๆ ใช้กระดาษทิชชู่ปิดปากปิดจมูกเมื่อพวกเขาไอหรือจาม และทิ้งกระดาษทิชชู่ที่ใช้แล้วนั้นลงถัง แต่ถ้าไม่มีกระดาษทิชชู่อยู่ใกล้มือล่ะ ให้ใช้แขนบริเวณข้อต่อกับข้อศอกยกขึ้นปิดปากแทน สมาคมกุมารแพทย์อเมริกาแนะนำว่า ถ้าเป็นไปได้อย่าเข้าใกล้ผู้ใหญ่หรือเด็กที่กำลังไอหรือจาม หรือเมื่อใดที่ลูกของคุณเป็นหวัด ก็ควรพักผ่อนอยู่บ้านเช่นกันค่ะ


4. มือไวจับทุกอย่าง

เพื่อที่จะจำกัดการติดเชื้อโรค เด็กๆ ไม่ควรเอามือขยี้ตา จับปาก หรือจมูกของตัวเอง และหากว่าอยู่ในที่สาธารณะก็ไม่ควรหยิบจับของที่ไม่แน่ใจว่าสะอาดปลอดเชื้อโรคหรือไม่ เช่น ราวบันไดเลื่อนในห้างสรรพสินค้าหรือในโรงพยาบาล เป็นต้น


5. การใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น

คุณพ่อคุณแม่ควรย้ำกับลูกๆ ว่าไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้า กระดาษชำระ ช้อนส้อม แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว หรือของใช้ส่วนตัว น้ำดื่ม รวมไปถึงอาหารที่ไม่ได้ใช้ช้อนกลาง ร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่โรคหวัดระบาด


ไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้น






วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

คำสอนของพ่อ


คุณพ่อถามลูกสาว ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่น 
"อยากรู้มั้ยว่ามีอะไรอยู่ในมือพ่อ" 

ลูกสาวพยักหน้า 
"ถ้าอยากรู้ต้องเอามือเขกพื้น 3 ที" 
...
ลูกสาวทำตาม

"ไม่พอ ต้อง 5 ที" และเปลี่ยนเป็น 10 ที จนถึง 15 ที จนลูกสาวอุทธรณ์
"ก็ลูกอยากทราบนี่คะว่า เป็นอะไร"

เมื่อคุณพ่อแบมือออก มันคือ เหรียญ 5 บาทธรรมดานี่เอง

คุณพ่อหัวเราะ แล้วกำมือกับเหรียญ 5 บาทเดิม
"อยากดูอีกมั้ย ถ้าอยากดูต้องเขกพื้น 10 ที"
"หนูรู้แล้วไม่อยากดูค่ะ"

"เอ้า.. เขกพื้น 1 ทีก็ได้"
"ทราบแล้วไม่อยากดูอีกเบื่อ"
"ให้ดูฟรี ๆ ก็ได้"
แล้วก็แบมือออก ลูกสาวก็ดูไปอย่างนั้นเอง คุณพ่อเลยสอนว่า

"นี่นะลูก อะไรที่เป็นความลับ คนมักยอมทำทุกอย่างที่จะได้สมปรารถนา
อยากดู อยากรู้ อยากเห็นแต่เมื่อสมปรารถนาแล้ว ดูบ่อย ๆ แล้วก็มักจะเบื่อ
ให้ดูฟรี ๆ ยังไม่อยากดูเลย
แล้วสิ่งที่พึงหวงแหนที่สุดสำหรับลูกผู้หญิงเป็นสิ่งที่มีค่า
ถ้าให้ใครรู้ก่อนเวลาอันควร ก็จะไม่มีค่าอะไร ไม่ต่างกับเหรียญ 5 บาทที่พ่อให้ลูกดูฟรีหรอก

5 พฤติกรรมบ่งบอกว่าคุณใช้แอร์รถผิดวิธี

ระบบปรับอากาศในรถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับบ้านเรา ดังนั้นการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ยืดอายุการใช้งานได้ รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง
      เรามาดูกันว่าพฤติกรรม 5 อย่างที่บ่งบอกว่าคุณใช้แอร์รถผิดวิธี มีอะไรบ้าง


      1.เปิดพัดลมเบา แต่เร่งน้ำยาแอร์
      มือใหม่บางคนอาจใช้งานระบบปรับอากาศเพียงแค่เร่ง-เบาพัดลมแอร์เท่านั้น แต่ไม่เคยปรับน้ำยาแอร์ ซึ่งหากเหล่ามือใหม่เกิดรู้สึกหนาวขึ้นมา ก็เพียงแค่ปรับพัดลมให้เบาลงเท่านั้น แต่ไม่ปรับน้ำยาแอร์ลงตามไปด้วย ซึ่งทำให้เกิดความชื้นในระบบแอร์โดยไม่จำเป็น
      ทางที่ดีหากรู้สึกว่าหนาวเกินไป นอกจากจะปรับความแรงพัดลมแอร์ลงแล้ว ก็ควรปรับเพิ่มอุณหภูมิขึ้นด้วย จะช่วยให้รู้สึกอุ่นขึ้นทันตาเห็น แถมประหยัดน้ำมันขึ้นอีกต่างหาก เนื่องจากเครื่องยนต์ไม่ต้องรับภาระจากคอมเพรสเซอร์แอร์

      2.ปิดหน้ากากแอร์แทนการเบาพัดลม
      ส่วนใหญ่พฤติกรรมนี้มักเกิดขึ้นโดยผู้โดยสาร ซึ่งหากรู้สึกหนาวก็จะใช้วิธีปิดหน้ากากแอร์ไปเลย แทนที่จะเบาความแรงของพัดลม ซึ่งจะทำให้ความเย็นไม่สามารถระบายออกมาได้ จนเกิดความชื้นอยู่ภายในระบบ แถมยังทำให้คนอื่นหนาวเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก


      3.ดึงอากาศภายนอกเข้ามาไม่รู้ตัว
      อากาศในบ้านเราต้องยอมรับว่ามีมลพิษอยู่มาก ซึ่งเจ้าของรถส่วนใหญ่มักใช้วิธีปิดกั้นอากาศจากภายนอกอยู่แล้ว ซึ่งระบบปรับอากาศแบบธรรมดาคงไม่มีปัญหาอะไร แต่สำหรับระบบแอร์ในรถยุโรปสมัยใหม่ ที่มีระบบปรับอากาศไหลเวียนอัตโนมัติ อาจเผลอตั้งระบบในตำแหน่งออโต้โดยไม่รู้ตัว จะทำให้มีการดึงอากาศจากภายนอกเข้ามา ทางที่ดีควรยกเลิกระบบไหลเวียนอากาศอัตโนมัติ โดยดูคำแนะนำจากคู่มือรถ
      4.ใส่การบูรไว้ในรถ
      การบูรหอมๆนั้น อาจทำร้ายระบบแอร์ได้ เนื่องจากการบูรมีการระเหิดตลอดเวลา ไอจากการระเหิดจะค่อยๆเข้าไปสะสมในแผงคอยล์เย็นภายในห้องโดยสาร ซึ่งเมื่อรวมเข้ากับความชื้น ฝุ่น และสิ่งสกปรกอีกสารพัด ก็อาจทำให้เกิดการอุดตันตามมา และยังเป็ยที่สะสมของเชื้อโรคอีกด้วย


      5.ดับเครื่องหรือสตาร์ทรถโดยไม่ปิดแอร์
      แม้ว่าการสตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์โดยไม่ปิดแอร์นั้น อาจไม่ได้ส่งผลต่ออายุการใช้งานระบบแอร์โดยตรง แต่การปิดแอร์ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ จะช่วยลดภาระการทำงานของไดสตาร์ทได้ ช่วยให้ไม่เกิดการกระชากไฟขณะสตาร์ทมากจนเกินไป ซึ่งก็ถือเป็นการถนอมระบบไฟฟ้าในรถยนต์ไปด้วยในตัว

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

krokodil ยาเสพติดที่แรงที่สุดในตอนนี้ กำลังจะระบาดมาไทย เตือนผู้ปกครอง

..ยาเสพติดน้องใหม่ที่ร้ายแรงที่สุดในโลก ""Krokodil""[ครอค-โค-ดิล]มาจากคำว่า Crocodile ในภาษารัสเซีย ผลที่ผู้เสพจะได้รับคือ เหมือนถูกจรเข้กัดกินจากข้างใน ผิวหนังและเส้นผมจะหลุดร่วง มีสะเก็ดลอก มีลักษณะคล้ายจรเข้ ส่วนใหญ่เสพแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี ทำไมถึงฮิต&ดัง??... เพราะถูกกว่า Heroin ถึง 20% ส่วนผสมคร่าวๆ++... มีน้ำมันรถ ไอโอดีน เกลือ กรดต่างๆ และ Codeine ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักในHeroin (Codeineมีในยาพาราฯบางยี่ห้อที่มีข่าวจับเพราะแอบนำไปซื้อขายกันไง) @@..วิธีเสพเหมือนHeroin..@@ ผลต่อร่างกายจะเกิดที่ขาก่อนโดยการติดเชื้อในกระแสเลือดในช่วงที่ฉีดเข้าไปจะมีสีฟ้ารอบบาดแผลและจะทำให้ผิวหนังเนื้อเยื่อช่วงนั้นตายทำให้แขนขาเน่าเปื่อยจากนั้นหลอดเลือดคอและเนื้อเยื่อกระดูกจะมีรูพรุนอย่างรุนแรง ขากรรไกรล่างจะถูกทำลายก่อน จากส่วนผสมของกรด โดยเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อจากข้างในก่อน Krokodil กำลังระบาดไปทั่วโลก ตอนนี้ระบาดไปอเมริกาแล้ว ไม่นานคงถึงบ้านเรา ดังนั้น!!ควรดูแลคนที่คุณรักให้ห่างไกลยาเสพติดก่อนสายเกินไป...










โดย Krokodilเป็นสารเสพติดออกฤทธิ์ร้ายแรง  เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้วออกฤทธิ์คล้ายเฮโรอีนแต่แรงกว่าถึง 3 เท่า โดยมันมีส่วนผสมของโคเดอีน น้ำมันเบนซิน ทินเนอร์ และมีถิ่นกำเนิดมาจากรัสเซีย ซึ่งที่รัสเซียมีตัวเลขผู้เสียชีวิตจากยาดังกล่าวกว่า 30,000คน

ทั้งนี้นายแพทย์อาบิน ซิงกาล่า ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์พยาบาลเซนต์โจเซฟ ผู้รับผู้ป่วยมารักษาเผยว่า ชิ้นเนื้อของผู้ป่วยมีกลิ่นเน่าและต้องปลูกถ่ายผิวหนังใหม่ ซึ่งยาชนิดนี้มีความร้ายแรงถึงขนาดกับฆ่าคนตายได้

1) krokodil ไม่ใช่สารเสพติดที่แรงที่สุด แม้แต่ในกลุ่มฝิ่นด้วยกัน ฤทธิ์ยังอ่อนและหมดไวกว่ามอร์ฟีน เฮโรอีน เลย
แม้แต่กลุ่มฝิ่นในทางการแพทย์เช่น pethidine ก็ยังแรงกว่ามากๆ

2)เนื้อเยื่อตายจากฟอสฟอรัสที่ใช้เป็นรีเอเจนตในการผลิตแล้วไม่กำจัดออก

3) ไม่น่าจะระบาดในไทย เพราะใช้โคเดอีน และหรือ ยางฝิ่น เป็นยัตถุดิบสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทย
ไม่ได้เป็นตลาดใหญ่ และห่างจากที่ผลิต (เพราะสามเหลี่ยมทองคำเลิกปลูกเสียเยอะ)
ต่างกับ สถานๆๆ ต่างๆ ที่แยกออกจากรัสเซีย เป็นแหล่งปลูกโดยตรง

4) ที่ระบาดเพราะราคาถูกสุดๆ คนจะลงแดงฤทธิ์ฝิ่น เน่ายังไงก็เล่น

Krokodil ไม่ได้ระบาดเลยทั่วโลกนะ มีเฉพาะกลุ่มในปรัเทศรัสเซีย กลุ่มเสพจะเป็นพวกที่มีปัญหาชีวิตอยากตายไวๆเพราะอายุผู้เสพนี้ไม่เกิน 2 ปี  เจาะกลุ่มพวกที่อยากตายจริงๆไม่ใช่อยากเท่ห์ เป็นของที่รวมๆสารพิษมารวมกันต้องผลิตกันเองเพื่อเสพ คือ พวกที่ยากตายจริงๆเท่านั้นที่อยากลอง

เรื่องระบาดนี้ไม่ระบาดหรอก เพราะมันน่ากลัวเกินครับ


http://www.youtube.com/watch?v=cM6v-43-1PU