Translate

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

รู้ไหม? ประเทศอะไรดูหนังโป๊มากที่สุดในโลก

พูดถึงหนังโป๊หนังลามกอาจจะดูเป็นเรื่องที่ดูไม่ดีหรือเรื่องต้องห้ามในสังคมไทย   แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าใครๆเค้าก็ดูกัน(รวมถึงผม อิอิ) แต่อยากรู้กันไหมละครับว่าประเทศอะไรในโลกที่ครองแชมป์ดูหนังโป๊มากที่สุดในโลก จะใช่ประเทศไทยหรือเปล่าน้า ลองไปดูกันครับ




 

เว็บไซต์หนังลามกชื่อดังของสหรัฐฯ เผยสถิติพบชาวจีนครองแชมป์ดูหนังโป๊ผ่านเว็บไซต์นานสุดในโลก เฉลี่ย 14.34 นาที เผยข้อมูลรายเมืองคนปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ทิ้งเมืองอื่นๆ ทั่วโลกขาด ส่วนไทยอยู่ในระดับกลางๆ เฉลี่ย 8.15 นาที

สัปดาห์ที่ผ่านมา เว็บไซต์พอร์นฮับ (Pornhub) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ภาพยนตร์ลามกของสหรัฐฯ เปิดเผยสถิติและแผนที่ซึ่งแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาการเข้าชมเว็บไซต์ของตนของคนจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก ผลปรากฎว่า คนเข้าชมเว็บไซต์จากประเทศจีนครองอันดับ 1 ด้วยสถิติการเข้าชมเฉลี่ย 14 นาที 34 วินาที รองลงไปคือ บูร์กินาฟาโซในแอฟริกาตะวันตก 14 นาที 26 วินาที และฟิลิปปินส์ 14 นาที 22 วินาที

ส่วนประเทศที่เข้าชมพอร์นฮับรวดเร็วที่สุด คือ อิรัก 5 นาที 30 วินาที รองลงไปคือ อียิปต์ และอาเซอร์ไบจันรับชมเฉลี่ย 6 นาที 17 วินาทีเท่ากัน โดยจากแผนที่บ่งชี้ว่าประเทศ/ภูมิภาคที่เป็นสีแดงยิ่งเข้มระยะเวลาการเข้าชมเฉลี่ยยิ่งน้อย ส่วนประเทศ/ภูมิภาคที่ถูกระบายด้วยสีเหลือง และเขียวยิ่งเข้มก็แสดงว่าเวลาการเข้าชมยิ่งมาก ส่วนประเทศไทยนั้นเข้าชมเว็บไซต์ภาพยนตร์ลามกดังกล่าวเฉลี่ย 8 นาที 15 วินาที

นอกจากนี้เว็บไซต์ดังกล่าวยังมีการทำสถิติเจาะเป็นรายเมืองในบางเมืองทั่วโลกอีกด้วย โดยกรุงปักกิ่งครองแชมป์ด้วยระยะเวลา 16 นาที 29 วินาที รองลงมาคือ เซี่ยงไฮ้ 15 นาที 58 วินาที

ก็ถือว่าประเทศไทยยังอยู่ในระดับกลางๆนะครับ อิอิ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ใช่สนับสนุนให้ดูกันเยอะๆนะครับ ฮ่าๆ


ข้อมูลข่าวจาก เมนเเจอร์,thaiza.com

อาหารเช้าพัฒนาเด็กวัยเรียน

อาหารมีความสำคัญกับเด็กวัยเรียน ทั้งต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ การเรียนรู้และสติปัญญา โดยร่างกายจะนำอาหารที่รับประทานไปเป็นส่วนประกอบของโครงสร้าง ตลอดจนการทำงานของทั้งร่างกายและสมอง
 

อาหารเช้าพัฒนาเด็กวัยเรี
 
         สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร จัดอบรมโภชนศาสตร์สำหรับครูโภชนาการของโรงเรียนในสังกัดสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ขึ้นเพื่อให้ครูได้รู้จักอาหารที่ดีสำหรับสุขภาพ เลือกอาหารได้ถูกต้อง และเน้นความสำคัญของอาหารเช้า และบริโภคอาหารอย่างภูกต้องเหมาะสม

         นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ หน่วยพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช  กล่าวว่า อาหารที่เหมาะสมสำหรับเด็กวัยเรียน ได้แก่ อาหาร 3 มื้อ ที่มีสารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 ได้แก่ 1.คาร์โบไฮเดรต 2.โปรตีน 3.ไขมัน 4.วิตามิน และ 5.เกลือแร่ ร่วมกับมีนมเป็นอาหารเสริมขนาดแก้วละ 240-250 ซีซี วันละ 2-3 แก้ว มีความสำคัญมาก เพราะจะเป็นแหล่งของสารอาหารและพลังงานหลักสำหรับการทำกิจกรรมระหว่างวันของเด็ก เด็กอายุระหว่าง 6-10 ปี จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3-3.5 กิโลกรัม

 
อาหารเช้าพัฒนาเด็กวัยเรี

        ส่วนสูงเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 6-7 ซม.ต่อปี ส่วนเด็กหลังอายุ 10 ปีไปแล้ว ควรมีน้ำหนักตัวเหมาะสมกับส่วนสูง โดยคำนวณจาก ดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกก.)/ส่วนสูง (ยกกำลังสอง)(หน่วยเป็นเมตร) อยู่ระหว่าง 18.5-23.0 กก./ม. (ยกกำลังสอง)

         การจัดและควบคุมให้เด็กรับประทานอาหารอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกายทั้งปริมาณ และคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อควบคุมให้เด็กมีน้ำหนักตัวอย่างเหมาะสม จะส่งผลดีต่อพัฒนาการทางร่างกาย ตลอดจนถึงสมองและการเรียนรู้ของเด็ก เป็นการป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังในวัยเด็กและเมื่อเติบโตขึ้นได้ ที่สำคัญ เด็กในวัยเรียนควรเน้นให้เด็กได้รับประทานอาหารเช้าอย่างเพียงพอ ทั้งปริมาณและสารอาหารเพื่อเป็นแหล่งของสารอาหารและพลังงานอย่างเพียงพอ ต่อการปฏิบัติภารกิจประจำวันของเด็กในวัยนี้ ครูและโรงเรียนต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เช่นในโรงเรียนไม่ให้ขายน้ำหวาน

        ขณะที่ ร.อ.หญิง กรกต วีรเธียร นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวว่า การจัดอาหารสำหรับนักเรียนนั้น เด็กจะต้องได้รับอาหารหลักให้ครบทั้ง 3 มื้อไม่ควรเว้นมื้อใดมื้อหนึ่งโดยเฉพาะมื้อเช้า อาหารที่เด็กได้รับจะต้องได้สัดส่วนของสารอาหารและพลังงาน ควรให้เด็กบริโภคอาหารตรงเวลา ไม่ควรให้เด็กรับประทานขนมจุบจิบ ควรจัดอาหารว่างที่มีคุณภาพให้เด็กบริโภคตอนสายและตอนบ่าย และในแต่ละมื้อไม่ควรจัดให้มีอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลอย่างเดียว ควรพยายามจัดให้ครบหมู่ ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อาหารหมักดอง เนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก อาหารรสจัด น้ำอัดลม/ชา/กาแฟ ขนมหวาน ขนมกรุบกรอบ เป็นต้น



  ขอบคุณข้อมูล : หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก  โดย ถนัดกิจ จันกิเสน

เลือกเสื้อผ้าเด็ก อย่างไรให้ปลอดภัยต่อลูกน้อย

  1. เลือกเสื้อผ้าเด็กอย่างไรให้ปลอดภัยต่อลูกน้อย
เรื่องของภูมิต้านทานนั้นภูมิต้านทานของเด็กน้อยตั้งแต่วัยแรกเกิดจนไปถึงวัย 3 ขวบจะมีภูมิต้านทานที่ยังไม่แข็งแรงมากนัก ทำให้เด็กวัยนี้เจ็บป่วยได้ง่ายมาก ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เด็กอ่อนแอ

และมีภูมิต้านทานต่ำนั้นล้วนอยู่รอบตัวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ไรฝุ่น ละอองหญ้า  เกสรดอกไม้ เตียงนอนที่ทำจากใยสังเคราะห์ ไม่มีสัญลักษณ์ Sanitized ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ช่วยปราศจากไรฝุ่น ที่เป็นสาเหตุของการเกิดภูมิแพ้ ผ้าปูเตียงนอนที่ไม่สะอาด อาหารที่ไม่ได้ปรุงสุกใหม่ๆ เครื่องปรับอากาศที่ไม่ได้ทำความสะอาด ฝุ่นในห้องนอน และยังรวมไปถึงเสื้อผ้าที่เด็กสวมใส่ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กเจ็บป่วยได้อีกด้วย
เลือกเสื้อผ้าเด็ก อย่างไ

เสื้อผ้าเด็ก ในปัจจุบันมักมีสีสันและเพิ่มลวดลายต่างๆเข้าไปมากมาย รวมทั้งยังมีการใช้เส้นใยผ้าที่มีวิธีการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย ซึ่งในขณะที่พ่อแม่เลือกชุดที่สีสันเหมาะกับวัยในลูกอยู่นั้น รู้หรือไม่ว่าบางทีคุณกำลังหยิบยื่นความอ่อนแอให้กับลูก จนอาจทำให้พวกเขาไม่สบายในที่สุด ซึ่งวิธีการเลือกเสื้อผ้าให้ปลอดภัยจากเชื้อโรคมีมากมาย ดังนี้
  • 1.เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติอย่างผ้าคอตตอน 100% หรือผ้าออแกนิคเท่านั้น เพราะมีผิวสัมผัมนิ่ม ลดการระคายเคือง นอกจากนี้เส้นใยธรรมชาติยังช่วยลดการเกาะของไรฝุ่นได้อีกด้วย
    2.อย่าเลือกเสื้อที่ลูกใส่ได้พอดีตัว เพราะจะทำให้เด็กอึดอัดและเสื้อยังระบายอากาศได้ไม่ดี จึงทำให้เกิดโรคผิวหนังและโรคภูมิแพ้ได้ง่าย
     3.การเลือกเสื้อผ้าตามร้านจำหน่ายเสื้อผ้าเด็กทั่วไป ควรตรวจสอบให้ดีว่าเป็นสินค้าที่ใหม่และสะอาดจริงๆ เพราะร้านส่วนใหญ่มักจะแขวนเสื้อไว้ตามราว และมีผู้คนหยิบจับอยู่เสมอ ทำให้เชื้อโรคสามารถกระจายตัวจากเสื้อผ้าได้
    4.ตรวจสอบการตัดเย็บของสินค้าไม่ให้มีส่วนคมหรือส่วนแข็งที่สามารถบาดผิวหนังได้
    เลือกเสื้อที่ไม่มีกระดุมแต่อาจใช้การผูกโบว์แทน เพราะกระดุมเป็นของแข็ง เมื่อลูกนอนทับอาจเป็นแผลและหากลูกของคุณซุกซนสามารถดึงกระดุมเสื้อมาเล่นได้นั้น ยิ่งต้องหลีกเลี่ยงเสื้อประเภทนี้
นอกจากนี้การนำผ้าปูที่นอนหรือชุดเครื่องนอนของลูกน้อย เช่น ผ้าห่ม ปลอกหมอน ออกมาซักเป็นประจำทุกๆ 1-2 สัปดาห์ ก็ยังช่วยลดการเกิดไรฝุ่นที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ในเด็กได้อีกทางหนึ่งด้วย
ข้อมูล : http://www.coolstylekids.com/store/article/view/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81-138897-th.html

ผลสำรวจชี้พ่อแม่เอเชีย เลี้ยงลูกด้วยสมาร์ทโฟน-แท็บเล็ตมากถึง 98%

คงปฏิเสธไม่ได้นะครับ ว่าในยุคนี้สมัยนี้นั้นคุณพ่อคุณแม่มักจะให้ลูกๆหลานใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเล่นกันทั้งนั้น โดยท่านผู้ปกครองอาจจะให้บุตรหลานใช้ในประโยชน์ที่ต่างๆกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษาหรือเพื่อความสนุกสนานต่างๆ โดยพ่อแม่ชาวเอเชียใช้ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเลี้ยงบุตรหลานในเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก
 



 
โดยtheAsianparent.com เว็บท่าเกี่ยวกับแม่และเด็กชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รายงานผลสำรวจ "การใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของเด็ก" กรณีศึกษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสำรวจความคิดเห็นตัวอย่างของพ่อแม่ 2,714 คนที่มีลูกในช่วงวัย 3-8 ปีอย่างน้อย 3,900 คน ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย 

ผลการสำรวจพบว่า พ่อแม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบทั้งหมด คือมากถึงร้อยละ 98 อนุญาตให้ลูกเล่นสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ร้อยละ 41 ของเด็กๆ มีแนวโน้มเล่นอุปกรณ์ดังกล่าวนานกว่า 1 ชั่วโมงต่อหนึ่งครั้ง 

ความคาดหวังของพ่อแม่ ที่ให้บุตรหลานใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต พวกเขาต้องการให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษามากที่สุด คือ ต้องการให้ลูกได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีตั้งแต่ยังเด็กร้อยละ 68 รองลงมาคือใช้เพื่อความสนุกสนานของลูกร้อยละ 57 และเพื่อทำให้ลูกเงียบหรืออยู่นิ่ง ๆ ร้อยละ 55 

โดยพวกเขามีความกังวลเกี่ยวกับผลเสียได้แก่ ผลเสียต่อสุขภาพของเด็ก ๆ มากที่สุด ร้อยละ 92% ความเสี่ยงที่เด็กๆ จะเสพติดการใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ร้อยละ 90 และ การเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ร้อยละ 88 นอกจากนี้ยังกังวลเรื่องการซื้อแอพและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่มาจากแอพพลิเคชั่น ร้อยละ 67 และกังกวลว่าเด็ก ๆ จะทำให้อุปกรณ์เสียหายเกินครึ่ง

ขณะที่เด็กในกลุ่มตัวอย่างเกือบ 4 พันคน ช่วงอายุ 3-5 ปี จะใช้แอพพลิเคชั่นการศึกษา ดูวิดีโอและเล่นเกม ขณะที่เด็กวัย 6-8 ปี ใช้เพื่อการเล่นเกมมากกว่า ซึ่งตรงข้ามกับความต้องการของพ่อแม่ 

พ่อแม่ส่วนใหญ่ในกลุ่มตัวอย่างคือร้อยละ 94 ต้องการให้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของตัวเอง มีกลไกให้ผู้ปกครองคัดกรองเนื้อหา การตั้งเวลาการใช้งาน การตั้งค่าบล็อกการเสียเงินจากแอพพลิเคชั่น 

ผลการสำรวจในครั้งนี้ เป็นการจัดทำครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อแสวงหาแนวทางการแก้ปัญหา เติมเต็มช่องว่างระหว่างความ คาดหวังผู้ปกครอง กับพฤติกรรมการใช้งานจริงของบุตรหลาน 


ข้อมูลจาก voicetv,thaiza.com

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สัญญาณไฟจากรถบรรทุก

เวลา ขับรถทางใกล้ หรือ ไกล อ่านเอาไว้
แล้วจะเข้าใจ คนขับสิบล้อ

เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมเวลาขับรถแซงหรือสวนรถบรรทุกทั้งหลาย ทางรถบรรทุกมักจะส่งสัญญาณไฟเลี้ยวแปลก ที่เราไม่เข้าใจ วันนี้เรามาดูกันครับว่าสัญญาณไฟเหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร
1. เปิดไฟเลี้ยวซ้ายทีขวาทีสลับกัน หมายความว่าให้ระวัง อาจเพราะเขาจะเบรก หรือทางข้างหน้ามีปัญหาเช่น มีด่าน มีอุบัติเหตุ รถคันข้างหน้าเบรกกะทันหัน เป็นต้น เอาเป็นว่าเจอรถบรรทุกทำแบบนี้ตามไปก่อนละกันครับอย่าเพิ่งแซง
2. เปิดไฟเลี้ยวซ้ายอย่างเดียว หมายความว่าเขายินดีให้เราแซงขึ้นไปได้ครับ และในกรณีเลนสวนทางกัน ก็สามารถหมายถึงข้างหน้าไม่มีรถสวนมา ให้เราแซงได้โดยปลอดภัยครับ
3. เปิดไฟเลี้ยวขวาค้างไว้หรือเปิดเป็นจังหวะ เจอแบบนี้ห้ามแซงครับ เขาหมายถึงเขาไม่อยากให้เราแซง โดยส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุมาจาก เขากำลังแซงคันข้างหน้า กำลังจะเลี้ยวขวา หรือ อาจจะมีรถสวนมาเป็นต้น เอาเป็นว่าเจอรถบรรทุกเปิดไฟเลี้ยวขวาข้างไว้ อย่าแซงครับ
4. ในกรณีขับรถตามกัน หากเราแซงรถบรรทุกขึ้นไปจนพ้น จะสังเกตได้ว่าคนส่วนใหญ่จะทำกันสองอย่างครับ
4.1. ในจังหวะที่รถเรากำลังตีคู่กันรถบรรทุกจะเปิดไฟสูงให้เราเห็นทางข้างหน้าและลดไฟลงต่ำเมื่อเราแซงพ้น บางคันอาจปิดไฟหน้า (ตอนกลางคืน) นั่นหมายความว่าเราแซงพ้นแล้ว ให้เข้ามาในเลนได้ แต่ถ้าเป็นกลางวันเขาจะกระพริบไฟ 1 ทีครับ
4.2. เขาอาจบีบแตรเบาๆเป็นสัญญาณให้ 1 ทีก็ได้ครับ แต่หลักที่นิยมทำกันคือเมื่อเขาเปิดทาง และเราแซงขึ้นไป เมื่อเราตีคู่ในระดับเดียวกับรถบรรทุกเราจะบีบแตรสั้น 1 ครั้งเป็นการขอบคุณ และทางรถบรรทุกมักจะบีบตอบสั้นๆ 1 ครั้งเช่นกัน
5. ขับสวนกันแล้วดับไฟหน้าแล้วเปิด หมายความว่าข้างหน้ามีด่านหรือมีอุบัติเหตุร้ายแรง ให้ระวังไว้ครับ
6. ขับสวนกันแล้วกระพริบไฟหน้าและเปิดไฟเลี้ยว 1 ที แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการเตือนเรื่องด่านครับ ต้องมองดูดีๆที่ไฟเลี้ยวด้วยนะครับ เพราะกระพริบไฟหน้าและเปิดไฟเลี้ยวข้างที่ชี้มาทางเรา หมายความว่าด่านอยู่ทางเราครับ แต่ถ้าเปิดไฟเลี้ยวด้านฝั่งเขา แสดงว่ามีตำรวจอยู่ฝั่งนู้นครับ
7. ขับสวนกันแล้วกระพริบไฟหน้า บางทีอาจไม่มีอะไรครับ อาจจะแค่การทักทาย การเช็คว่าเราหลับในรึเปล่า ใช้ไฟสูงอยู่ไหม หรือเป็นการถามว่าทางที่เราผ่านมามีด่านหรือไม่
8. ขับสวนกันแล้วมีขบวนรถบรรทุกขับสวนขึ้นมา สถานการณ์นี้ให้มองรถบรรทุกลำดับที่ 2 ในแถวไว้ให้ดีนะครับ หากรถคันที่ 2 หรือคันต่อๆไปในแถวที่สวนมากระพริบไฟหรือเบี่ยงหัวออกมาทางเลนเรานิดหนึ่งและกระพริบไฟ นั่นแสดงว่ารถคันแรกในขบวนช้า เขากำลังจะแซงออกมาแล้วครับ เตรียมชะลอความเร็วแล้วเข้าไหล่ทางนะครับ เปิดทางให้รถบรรทุกหน่อย
อย่าไปอวดดีเด็ดขาดนะครับ รถบรรทุกพวกนี้พอออกมาแล้วไม่กลับแน่นอนครับ ถ้าคุณไม่หลบ คุณก็แหลกครับ รถใหญ่บนทางหลวงเขาไม่ลงไหล่ทางแน่นอนครับเพราะว่ารถมันหนัก ถ้าลงไหล่ มันจะเอาไม่อยู่และพลิกคว่ำทันทีครับ เพราะฉะนั้นหลบได้ก็หลบเถิด
และอีกอย่างหนึ่งรถใหญ่หนัก เขาจะไม่ค่อยเบรกกัน เมื่อเขาได้รอบได้จังหวะ เขาจะออกมาทันที เราต้องเป็นฝ่ายหลบนะครับ อาจจะดูเหมือนทางเขาผิด แต่ต้องเข้าใจเขานะครับว่ารถใหญ่และหนักกว่าจะแซงได้มันลำบาก หลบๆไปก่อนเถอะครับ

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พริกขี้หนูสดลดระดับน้ำตาลในเลือด

พริกขี้หนู

พริก เป็นพืชในตระกูล Solanaceae มาจากคำภาษาสเปนว่า chile โดยส่วนมากแล้ว ชื่อเหล่านี้มักหมายถึง พริกที่มีขนาดเล็ก ส่วนพริกขนาดใหญ่ที่มีรสอ่อนกว่าจะเรียกว่า Bell Pepper ในสหรัฐอเมริกา Pepper ในประเทศอังกฤษและไอร์แลนด์, capsicum ในประเทศอินเดียกับออสเตรเลีย และ Paprika ในประเทศทวีปยุโรปหลายประเทศ พริกชนิดต่างๆ มีต้นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกา ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีปลูกกันในหลายประเทศทั่วโลก เพราะพริกเป็นเครื่องเทศที่สำคัญชื่อหนึ่ง และยังมีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพรด้วยเช่นกัน

สำหรับสาร  ในพริกขี้หนู ทำให้เกิดความเผ็ดร้อน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางยา เชื่อกันว่ามีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยรศ.สุพีชา วิทยเลิศปัญญา ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง เภสัชจลนศาสตร์ของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูสด และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพริกขี้หนูสดต่อน้ำตาลในเลือดในอาสาสมัครสุขภาพดี เพื่อพิสูจน์สรรพคุณของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้หรือไม่ Capsaicin ว่าพบมากที่สุดบริเวณรกของพริกขี้หนู วิธีในการวิจัยระยะแรกจะศึกษานำร่องในอาสาสมัครจำนวน 2 ราย เพื่อพิสูจน์ปริมาณที่เหมาะสมของสาร Capsaicin ในพริกขี้หนูที่มีผลทำให้ระดับน้ำตาลลดลง การวิจัยเลือกใช้พริกขี้หนูขนาด 5 กรัม ผลปรากฏว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้อย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงทดลองในอาสาสมัครจำนวนเพิ่มมากขึ้นเป็น 12 ราย อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งรับประทานพริกขี้หนูบรรจุในแคปซูลพร้อมกับน้ำตาลความเข้มข้น สูง อาสาสมัครอีกกลุ่มหนึ่งรับประทานแคปซูลเปล่า เพื่อเปรียบเทียบผลระหว่างอาสาสมัครทั้งสองกลุ่ม จากนั้นจึงวัดระดับน้ำตาลในเลือดทุก 15 นาที ตั้งแต่เริ่มรับประทานยาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัดในนาทีที่ 30 เป็นต้นไป กลุ่มที่รับประทานพริกขี้หนูสดมีระดับน้ำตาลลดลงมากกว่ากลุ่มที่รับประทานแคปซูลเปล่า และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
จากการวิจัยโดยให้กลุ่มอาสาสมัครที่รับประทานแคปซูลเปล่ามารับประทานพริกขี้ หนูสด และเจาะเลือดวัดระดับอินซูลิน รวมทั้งวัดระดับ Capsaicin ใน เลือดของอาสาสมัครกลุ่มที่รับประทานพริกขี้หนูสดที่บรรจุในแคปซูล ผลปรากฏว่าระดับอินซูลินในกลุ่มอาสาสมัครที่รับประทานพริกขี้หนูสดอยู่ใน ระดับคงที่ ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานพริกขี้หนูสดมีระดับอินซูลินลดลง แสดงให้เห็นว่า Capsaicin จาก พริกขี้หนูสดสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ ผลการวิจัยสรุปได้ว่าพริกขี้หนูสดขนาด 5 กรัมมีคุณสมบัติในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินได้ ผลที่ได้น่าจะมาจากการที่ Capsaicin เข้าสู่ร่างกายและออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินนั่นเอง
นอกจากลดระดับน้ำตาลในเลือด พริกมีวิตามินซีสูง เป็นแหล่งของกรด ascorbic ซึ่งสารเหล่านี้ ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อให้ดูดซึมอาหารดีขึ้น ช่วยร่างกายขับถ่าย ของเสียและนำธาตุอาหารไปยังเนื้อเยื่อของร่างกาย สำหรับพริกขี้หนูสดและพริกชี้ฟ้าของไทย มีปริมาณวิตามิน ซี 87.0 - 90 มิลลิกรัม / 100 g นอกจากนี้พริกยังมีสารเบต้า - แคโรทีนหรือวิตามินเอสูง

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557

22 วิธีใช้สิ่งของในบ้าน ที่คุณทำผิดมาตลอดชีวิต

เคยสงสัยกันบ้างมั้ยว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์แต่ละอย่าง เค้าทำมาเพื่ออะไร? แล้วมันใช้ทำอะไร? คนเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะได้สังเกตกันหรอก ก็มักจะใช้กันไปตามมีตามเกิด เห็นว่าใช้ได้ไม่มีปัญหาก็ใช้กันต่อไป แต่ทว่านั่นเป็ฯวิธีการใช้สิ่งของเหล่านั้นในวิธีที่ผิด เพราะฉะนั้นตามเหมียวมาดูกันดีกว่า

1. ไม่มีช้อนตักเหรอ ก็ใช้ฝานั่นแหละทำเป็นช้อนซะ
how-to-use-things (1)

2. แผ่นซีดีเป็นรอย เครื่องอ่านไม่ได้เลย ลองใช้กล้วยทาลงไปซิ
how-to-use-things (2)

3. ใช้เครื่องเป่าผม หมดปัญหาเรื่องไอน้ำเกาะเต็มห้องน้ำ
how-to-use-things (3)

4. วิธีป้องกันไม่ให้ชีสขึ้นรา ก็แค่เอาเนยมาถูไว้บางๆ บนขอบชีส
how-to-use-things (4)

5. กล่องบะหมี่สำเร็จรูปเค้าก็ออกแบบมาให้ใช้เป็นจานรองด้วยนะ
how-to-use-things (5)

6. หมดปัญหาของปลั๊กหลุดออกจากกัน ม้วนไว้ด้วยกันซะ
how-to-use-things (6)

7. กล่องฟอยล์จะมีตัวยึดอยู่ด้านข้าง คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเห็น
how-to-use-things (7)

8. หูของกล่องนม กล่องน้ำผลไม้ มีไว้ป้องกันหลุดมือนั่นเอง เหมาะกับเด็กๆ จะได้ไม่ต้องบีบกล่องแรงๆ
how-to-use-things (8)

9. วิธีขยายถ้วยกระดาษใส่ซอส ลองฉีกขอบซักนิดซิ ใส่ได้เยอะกว่าเดิม
how-to-use-things (9)

10. ฝาปิดแก้วไว้ใช้รองแก้วนะจ๊ะ
how-to-use-things (10)

11. กระเป๋าถือมักจะมีอะไรติดอยู่เยอะ ใช้ลูกกลิ้งช่วย
how-to-use-things (11)

12. การทำเช่นนี้ จะเป็นการกระจายน้ำมันได้ทั่วขวดโหลเลย
how-to-use-things (12)

13. ใช้แขวนรูปได้นะ
how-to-use-things (13)

14. ใช้ล็อกหลอดให้อยู่กับที่ได้อีก
how-to-use-things (14)

15. ช่องว่างๆ นั้น นอกจากจะเอาไว้แขวนแล้ว เค้าก็เอาไว้พักช้อนคนด้วย
how-to-use-things (16)

16. ขวดปิดแน่น ก็ใช้ช้อนงัด
how-to-use-things (15)

17. คราบน้ำอยู่บนเฟอร์นิเจอร์ไม้เหรอ ใช้มายองเนสซิ
how-to-use-things (17)

18. ฝาของมันออกแบบมาเพื่อการนี้แหละ
how-to-use-things (18)

19. วิธีกิน Toblerone ที่ถูกต้อง
how-to-use-things (19)

20. วิธีวางตัวรองนั่งชักโครกที่ถูกต้อง
how-to-use-things (20)

21. ปริมาณยาสีฟันที่เหมาะสมแต่ละครั้ง ก็คือ ขนาดเท่าเม็ดถั่ว
how-to-use-things (21)

22. ในถ้วยมีท๊อปปิ้งให้ผสมกัน บิดอีกด้านขึ้นให้มันไหลลงผสมกันโลด
how-to-use-things (22)

โอ้!! ไม่น่าเชื่อว่าแต่ละอย่างนี้มันออกแบบมาเพื่อการนี้จริงๆ อิอิ บางอย่างเหมียวเองยังใช้ผิดๆ อยู่เลยอ่ะ เมี๊ยวววว
ที่มา : awesomeinventions

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

อย่าพูดว่า "เมียผมไม่ได้ทำงานอะไร"

อย่าพูดว่า
"เมียผมไม่ได้ทำงานอะไร"


บทสนทนาระหว่างสามีคนหนึ่ง(ส)
กับนักจิตวิทยา(จ):
จ: คุณทำอาชีพอะไรครับ?
ส: ผมทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งครับ
จ: แล้วภรรยาคุณล่ะ?
ส: เธอไม่ได้ทำงานครับ เป็นเพียงแม่บ้าน
จ: ใครเป็นคนทำอาหารเช้าให้คนในครอบครัวครับ?
ส: ภรรยาผม,เพราะว่า เธอไม่ได้ทำงานอะไร
จ: ภรรยาคุณตื่นเช้าเวลาไหน เพื่อทำกับข้าว?
ส: ราวๆตี 5 เพราะเธอต้องทำความสะอาดบ้าน ก่อนทำกับข้าวครับ
จ: แล้วเด็กๆ ไปรร.กันยังไงครับ?
ส: ภรรยาผมพาไป,เพราะเธอไม่ได้ทำงานอะไร
จ: หลังจากส่งลูกๆไปรร.แล้ว เธอทำอะไรครับ?
ส: เธอก็ไปตลาด แล้วก็กลับบ้านเพื่อทำครัวและรีดผ้า หมอก็รู้แล้วนี่ ว่า เธอไม่ได้ทำงานอะไร
จ: ตอนเย็นหลังจากเลิกงานกลับบ้าน คุณทำอะไรหรือ?
ส: พักผ่อนครับ เพราะผมเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน
จ: แล้วภรรยาคุณทำอะไรล่ะ?
ส: เธอทำครัว เสิร์ฟอาหารให่ลูกๆและผม ล้างจาน ถูบ้าน แล้วก็พาเด็กๆเข้านอน

จากเรื่องข้างบนนี้ คุณคิดว่าใครทำงานมากกว่ากัน???

กิจวัตรประจำวันของภรรยาคุณ
เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ ไปจน ดึก นี่หรือที่เรียกว่า ' ไม่ได้ทำงานอะไร ' ??!!

ใช่ การเป็นแม่บ้าน ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาใดๆ หรือ มีตำแหน่งสูงๆ แต่ บทบาทของพวกเธอ สำคัญมาก!

โปรดชื่นชมภรรยาของคุณ
เพราะความเสียสละของเธอนั้น ประมาณค่ามิได้

นี่ควรเป็นข้อเตือนใจและสะท้อนให้เราได้เข้าใจและซาบซึ้งถึงบทบาทของกันและกัน

เกี่ยวกับผู้หญิง....
* เมื่อเธอเงียบ เรื่องต่างๆมากมาย โลดแล่นอยู่ในความคิด ของเธอ
* เมื่อเธอจ้องมองคุณ เธอแปลกใจว่า ทำไมเธอถึงรักคุณมาก ทั้งๆที่เป็นฝ่ายถูกมองเหมือนว่า ไร้ค่า
* เมื่อเธอพูดว่า ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณ เธอจะอยู่เคียงข้างคุณ ดุจหินผาศิลาแกร่ง
โปรด อย่าทำร้ายจิตใจเธอ
อย่าเข้าใจเธอผิดไป
หรือมองว่าเธอไร้ค่า

แด่ ภรรยาสุดที่รัก และ แม่ของเรา

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว”เช็ดตัวลดไข้ให้เด็ก ได้ผลดี ไข้ลงเร็วขึ้น


 น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว เช็ดตัวลดไข้ให้เด็ก ได้ผลดี ไข้ลงเร็วขึ้น  



 โดยเป็นผลงานการศึกษาวิจัยของนางสาวชลิดา ภาวนาเกษมศานต์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ประจำโรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ เรื่อง "ประสิทธิผลของการใช้น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวในการเช็ดตัวลดไข้ในผู้ป่วยเด็กที่รักษาในโรงพยาบาลนครพิงค์" ปรากฎว่าสามารถลดไข้ได้ดีกว่าการใช้น้ำอุ่นธรรมดาเช็ดตัว ใช้เป็นทางเลือกในการให้การพยาบาลเพื่อลดไข้ในผู้ป่วยเด็กและกลุ่มอายุอื่นๆ ได้  เนื่องจากมะนาวเป็นสมุนไพรที่หาง่าย ราคาถูก
นางสาวชลิดากล่าวว่า ในปี 2556 มีผู้ป่วยเด็กเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนครพิงค์จำนวน 782 ราย ในจำนวนนี้ 2 รายมีอาการชักเนื่องจากมีไข้สูง ทำให้ผู้ปกครองที่ดูแลผู้ป่วยมีความวิตกกังวล โดยขณะผู้ป่วยมีไข้ขึ้นสูง ผู้ปกครองบางรายไม่ให้ความร่วมมือ เนื่องจากให้เหตุผลว่า การเช็ดตัวใช้เวลานาน หลังเช็ดแล้วไข้ลดลง และกลับสูงขึ้นในเวลาไม่นาน ผู้วิจัยจึงสนใจทำการศึกษาการใช้น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวมาใช้เช็ดตัวลดไข้  โดยศึกษากลุ่มผู้ป่วยเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่มีไข้สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียสจำนวน 60 ราย ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2557 - 7 กรกฎาคม 2557 โดยใช้วิธีการเช็ดตัวแบบผสมผสานระหว่างการเช็ดตัวและห่อพันตัว เป็นเวลานาน 15 นาที และวัดไข้ซ้ำหลังเช็ดตัวแล้ว 15 นาที เปรียบเทียบกับเด็กที่ใช้วิธีเช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุ่นอย่างเดียว
ผลการศึกษาวิจัยพบว่า การเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวให้ผลต่อการลดไข้ได้ อุณหภูมิร่างกายลดลงกว่าเดิมเฉลี่ย 1.2 องศาเซลเซียส เช่นหากมีไข้ 38.5 องศาเซลเซียส หลังเช็ดด้วยวิธีนี้ไข้ลดลงเหลือ 37.3 องศาเซลเซียส ในขณะที่เด็กที่เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุ่นธรรมดาทั่วไป ลดอุณหภูมิได้เฉลี่ย 0.67 องศาเซลเซียสเท่านั้น  ชี้ให้เห็นว่าการใช้น้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวเช็ดตัวลดไข้ ให้ผลในการลดอุณหภูมิร่างกายได้ดีกว่าการใช้น้ำอุ่นอย่างเดียว  ประมาณ 2 เท่าตัว
นางสาวชลิดากล่าวต่อว่า ผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยทดสอบการใช้มะนาว ซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของไทย หาได้ง่ายในครัวเรือน ครั้งนี้  สามารถนำไปเผยแพร่ประชาชนทั่วไปเพื่อประยุกต์ใช้กับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในครอบครัว เพื่อดูแลบุคคลในครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อเด็กเล็กมีไข้ เพื่อป้องกันการเกิดอาการชัก ซึ่งอาจกระทบต่อสมองของเด็ก และในอนาคตจะมีอาการชักทุกครั้งเมื่อมีไข้สูง  และอาจมีผลต่อพัฒนาการ และสติปัญญาการเรียนรู้ของเด็ก การใช้น้ำมะนาวผสมในน้ำอุ่นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเช็ดตัวลดไข้ในผู้ป่วยเด็ก และยังเป็นทางเลือกในการให้การพยาบาล เพื่อลดไข้ในผู้ป่วยเด็กกลุ่มอื่นๆ โดยผู้วิจัยจะศึกษาต่อยอดความรู้ โดยศึกการเลือกใช้ผลมะนาวผิวสีเหลืองกับสีเขียว  และการศึกษาระยะเวลาที่ไข้ลด ว่าช่วยลดไข้ได้นานเท่าใด เพื่อให้การเช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวมีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อไป  
ทั้งนี้ มะนาวที่นำมาศึกษาครั้งนี้เป็นมะนาวพันธุ์แป้นเขียวที่มีในท้องตลาดทั่วไป การผสมจะใช้มะนาว 1 ผล ต่อน้ำอุ่นอุณหภูมิ 38 องศาเซลเซียส ปริมาณ 2,000 ซี.ซี. การผ่ามะนาวต้องผ่าใต้น้ำและบีบใต้น้ำ เพื่อให้ได้น้ำมันจากผิวด้วย ซึ่งกลิ่นของน้ำมันผิวมะนาว จัดเป็นอโรมา เทอราปี เพิ่มการไหลเวียนเลือดดีขึ้น จะช่วยให้ผู้ป่วยสุขสบายด้วย โดยจากการติดตามผลการศึกษาในต่างประเทศพบว่าน้ำมันผิวมะนาว นำมาผสมน้ำและพันเท้าและขาเด็ก สามารถลดไข้ได้     
ขอบคุณรูปจาก  www.siam1.net
ที่มา : Smart SME

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

′นอนน้อย′ ทำสมองฝ่อ จริงหรือ?!

ทำสมองฝ่อ?

วารสารสถาบันประสาทวิทยาอเมริกันตีพิมพ์ผลการศึกษาระบุว่า ปัญหาการนอนไม่หลับเชื่อมโยงสัมพันธ์กับการเกิดอาการสมองฝ่อ หรือปริมาณเนื้อสมองลดน้อยลง หลังทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ วิจัยพบการเชื่อมโยงกันดังกล่าว
กลุ่มวิจัยทดลองโดยนำกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่ 147 คน อายุ 20 ปี และ 84 ปี มาเข้ารับการตรวจสมองผ่านเครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอ 2 ครั้ง ซึ่งการสแกนสมองแต่ละครั้งจะมีความห่างเฉลี่ย 3.5 ปี
จากนั้นนักวิจัยได้ให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการนอน เช่น นอนนานเท่าไร, ใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะนอนหลับ, หรือจำเป็นต้องใช้ยาช่วยให้นอนหลับหรือไม่
หลังกระบวนการค้นคว้าพบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 35 จากจำนวนทั้งหมดมีคุณภาพการนอนหลับย่ำแย่ และยังพบอีกว่า บุคคลที่มีปัญหาการนอนไม่หลับ มีขนาดสมองหดเล็กลงเป็นวงกว้างในหลายส่วน เช่น สมองบริเวณหน้าผาก, สมองบริเวณขมับ, หรือเนื้อสมองตรงผนังหุ้ม ซึ่งกรณีเช่นนี้เห็นได้ชัดในคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม แคลร์ อี. แซ็กตัน จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ผู้เขียนรายงานชิ้นนี้ กล่าวว่า ยังไม่แน่ชัดว่าคุณภาพของการนอนหลับ เป็นสาเหตุ หรือเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมองกันแน่ ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาต่อเนื่องต่อไปในอนาคต เพราะหากการศึกษาในอนาคตชี้ว่าการปรับปรุงคุณภาพการนอนช่วยลดความเสี่ยงอาการสมองฝ่อ
ดังนั้น การแก้ไขพฤติกรรมการนอนซึ่งมีวิธีรักษาอยู่หลายหนทางก็อาจเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยรักษาสุขภาพของสมองได้นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ทดลองมาแล้ว ใช้ใบตองปิดแผลหายเร็วกว่าใช้ผ้าก็อซเคลือบวาสลิน80%

เมื่อวันที่ 11 กันยายน ในการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2557 ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จ.เชียงใหม่ มีการนำเสนอผลงานวิชาการและโปสเตอร์นวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่น่าสนใจอาทิ การศึกษาการรักษาแผลด้วยอ่อน

นางไอยริษา เสาร์ศิริ พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ ประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.)อีเซ อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า การศึกษาดังกล่าว เป็นการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาไทยในท้องถิ่น ในระบบบริการประชาชนและประสบผลสำเร็จ ได้ผลดี สร้างความพึงพอใจ ช่วยลดอาการเจ็บปวดของผู้ป่วยขณะทำแผลได้เป็นอย่างดี ที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอีเซ มีผู้ป่วยไปรับบริการทำแผล 12-25 ราย โดยเป็นบาดแผลเปิด แผลถลอกร้อยละ 40 แผลถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ร้อยละ 20 แผลเปื่อยติดเชื้อร้อยละ 25 แผลที่สร้างความเจ็บปวดให้ผู้ป่วยมากที่สุดคือ บาดแผลถลอก และแผลถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก เนื่องจากเมื่อปิดผ้าก็อซเคลือบวาสลินบนแผลแล้ว แผลจะแห้งและลอกหลุดยาก ต้องใช้น้ำเกลือล้างแผลช่วยละลายสิ่งคัดหลั่งบนแผลให้ชุ่ม จึงจะลอกผ้าก็อสออกได้ ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวด กลัวการทำแผล
นางไอยริษา กล่าวว่า จากปัญหาที่ผ่านมาจึงได้ศึกษาภูมิปัญญาวิถีชาวบ้านด้านการดูแลบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกและแผลถลอก โดยใช้ใบตองกล้วยใบอ่อนที่ยังไม่คลี่ใบ มาใช้ปิดบาดแผลแทนการใช้ผ้าก็อซเคลือบวาสลิน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดูแลให้แผลหายเร็วที่สุด ลดความเจ็บปวดขณะทำแผล จากการศึกษาการใช้ใบตองอ่อนปิดแผลให้ผู้ป่วยที่มีบาดแผลถลอก แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก 20 ราย พบว่าบาดแผลที่ปิดด้วยใบตอง เนื้อเยื่อมีการสมานกับได้ดี และใบตองอ่อนไม่ติดกับบาดแผล จึงมีผลทำให้แผลหายเร็วกว่าแผลที่ปิดด้วยผ้าก๊อซเคลือบวาสลินประมาณร้อยละ 80 โดยบาดแผลถลอกไม่ลึกที่ใช้ใบตองปิด จะใช้เวลาหายประมาณ 7 วัน หากใช้ผ้าก็อซเคลือบวาสลินปิด จะใช้เวลา 12-14 วัน ส่วนบาดแผลถลอกหรือแผลไฟไหม้ที่มีขนาดลึก การปิดแผลด้วยใบตองอ่อน จะหายประมาณ 2 สัปดาห์ ส่วนแผลที่ใช้ผ้าก็อซเคลือบวาสลินปิด จะหายประมาณ 3-4 สัปดาห์ สร้างความพึงพอใจผู้ป่วยสูงถึงร้อยละ 98
นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอวิธีบำบัดโรคลมตะกังหรือ โรคปวดศีรษะไมเกรน โดย นายอิทธิพล ตาอุด แพทย์แผนไทย ประจำโรงพยาบาลราษีไศล จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า โรคไมเกรน จัดเป็นโรคทางระบบประสาทที่แฝงมากับความเครียดและพบได้บ่อย มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก เนื่องจากผู้ป่วยจะมีความทุกข์ทรมานปวดศีรษะเป็นๆ หายๆ จะมีอาการปวดตึง ร้าวไปที่บริเวณกล้ามเนื้อรอบๆกะโหลกศีรษะ หน่วงที่บริเวณขมับ และมีอาการอื่นร่วมด้วย ได้แก่ ตามัว มองเห็นภาพซ้อน อาการปวดมีความรุนแรงแตกต่างกัน ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาวิธีการบำบัดรักษาผู้ป่วยไมเกรนด้วยการนวดไทยสายราชสำนักร่วมกับการประคบสมุนไพร เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยไมเกรน
นายอิทธิพลกล่าวว่า สำหรับการศึกษาในผู้ป่วยโรคไมเกรนที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาและไปรับบริการที่โรงพยาบาลราษีไศล จ.ศรีสะเกษ 30 คน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2556 - เดือนเมษายน 2557 โดยใช้วิธีการนวดไทยสายราชสำนักและประคบลูกประคบสมุนไพรตาม ใช้เวลาเพียง 45 นาทีต่อครั้ง แบ่งเป็นนวด 30 นาที และประคบสมุนไพรอีก 15 นาที ทำ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ วันเว้นวัน จากการประเมินผลพบว่าได้ผลดี อาการปวดทุเลาขึ้น ก่อนนวดผู้ป่วยมีค่าเฉลี่ยความเจ็บปวดอยู่ที่ 6.07 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน แต่หลังจากนวดในครั้งที่ 3 ค่าเฉลี่ยความเจ็บปวดลดลงเหลือ 3.63 คะแนน ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น อาการปวดศีรษะลดลงมาก ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

7 ประโยชน์จากน้ำอัดลมที่คุณไม่เคยรู้!!!

แม้คุณจะเคยได้ยินมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่านั้นมีแต่โทษและไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆเลยแม้แต่น้อยวันนี้เราขอปฏิเสธอย่างหนักแน่นด้วยเสียงแข็งๆเลยว่า น้ำอัดลมนั้นยังมีข้อดีอีกหลายๆ อย่างที่คุณอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน ซึ่งข้อดีที่ว่ามานี้จะเกี่ยวกับอะไรบ้างนั้น วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับประโยชน์ของน้ำอัดลมมาฝากกัน ซึ่งรับรองได้เลยว่า ต้องมีหลายๆ ข้อที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กันได้อย่างแน่นอน


1. ช่วยทำความสะอาดไขมันบนเสื้อผ้า
หากชุดเดรสสวยๆ หรือ กระโปรงทำงานตัวโปรดของคุณต้องเปื้อนคราบมันหรือตะกรันต่างๆลองผสมผงซักฟอกเข้ากับน้ำอัดลม1กระป๋อง แล้วซักด้วยเครื่องซักผ้าตามปกติ น้ำอัดลมจะช่วยสลายคราบมันและตระกรันบนชุดสวยๆ ให้คุณได้แน่นอน ที่สำคัญอย่าลืมใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มให้อีกรอบนะคะ เสื้อผ้าของคุณจะได้มีกลิ่นหอมๆ แทนกลิ่นซ่าๆ ไปในคราวเดียวค่ะ
2. ช่วยทำความสะอาดสุขภัณฑ์ห้องน้ำ
แค่คุณใช้น้ำอัดลมสูตรปราศจากน้ำตาลเทไว้ให้ทั่วพื้นห้องน้ำและสุขภัณฑ์ทิ้งไว้ประมาณ1ชั่วโมงหลังจากนั้นใช้แปรงขัดห้องน้ำขัดถูแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง แค่นี้ห้องและสุขภัณฑ์ของคุณก็จะสะอาดใสกิ๊งเลยล่ะ
3. ขจัดคราบสนิม
หากชุดกันชนโครเมี่ยมของคุณเกิดเป็นจุดสนิมขึ้นมาเมื่อไรอย่าปล่อยให้มัยลุกลามไปได้รีบใช้อะลูมินั่มฟรอยด์ชุบน้ำอัดลมและขัดเบาๆตรงจุดที่เป็นสนิมรับรองได้เลยว่าคราบจะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย
4. ช่วยคลายน็อตที่ขึ้นสนิมจนไขไม่ออก
ถ้าคุณต้องการจะไขน็อตออกจากชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆแต่น็อตตัวนั้นเต็มไปด้วยสนิมเขรอะให้คุณใช้ผ้าชุบน้ำอัดลมให้ชุ่มแล้วประคบน็อตตัวนั้นไว้สักครู่น้ำอัดลมจะช่วยกัดกร่อนสนิมบริเวณนั้นให้ไขน็อตออกได้อย่างง่ายดาย
5. ช่วยเปิดจุกฝาขวด
ถ้าหากจุกฝาขวดของคุณมันแน่นเกินไปจนเปิดไม่ออกให้คุณใช้ผ้าชุดน้ำอัดลมประคบไว้สักครู่หนึ่งน้ำอัดลมจะช่วยทำให้ฝาขวดคลายตัวและเปิดออกได้ง่ายยิ่งขึ้น
6. เพิ่มรสชาติให้กับแฮม
หากคุณอยากให้การทอดแฮมนั้นอร่อยยิ่งขึ้นลองเทน้ำอัดลมลงในกระทะแทนน้ำมันแล้วห่อแฮมด้วยฟรอยด์ใส่ลงในกระทะต้มในน้ำอัดลมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วจึงเอาฟรอยด์ออกเพื่อให้แฮมได้คลุกเคล้ากับน้ำอัดลมที่ยังเหลืออยู่ในกระทะ รับรองได้เลยว่าแฮมของคุณจะมีรสชาติที่อร่อยยิ่งขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
7. ทำความสะอาด.....รถบรรทุก
ทราบกันไหมว่าน้ำอัดลมนั้นถูกใช้ในการทำความสะอาดรถบรรทุกมาเป็นระยะเวลากว่า20ปีแล้วก่อนที่เด็กวัยรุ่นบางคนจะรู้จักกับน้ำอัดลมเสียอีก!!!
เห็นหรือยังว่า น้ำอัดลมนั้นมีประโยชน์อีกมากมายที่คุณไม่เคยรู้เลย
แต่ที่น่าสังเกตก็คือ ยังไม่พบประโยชน์ต่อร่างกายของเราเลยสักข้อหนึ่ง ฉะนั้นแล้วคุณควรจะทานต่อไปหรือใช้เพื่อประโยชน์ตามที่เราแนะนำมา...?!?

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

พ่อแม่รังแกฉัน

เชื่อว่าพ่อแม่หลายคนในปัจจุบันรักลูกมาก ตามใจลูกทุกอย่าง ไม่ว่าลูกจะขออะไรให้หมดทุกสิ่ง ทำผิดก็ไม่ลงโทษ แถมไปโรงเรียนทำผิดคุณครูทำโทษก็โทรต่อว่าคุณครูอีกT_T เมื่อหลายครอบครัวเลี้ยงลูกแบบผิดๆ วันนี้ทีมงาน sanook! campus เลยขอแบ่งปันข้อคิดดีๆ จาก ให้คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ได้อ่านกัน ^^

1. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการรักเขามากเกินไป ผลก็คือเกิดภาวะรักจนหลง ลูกของตนถูกทุกอย่าง ลูกของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ อันส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนมีอัตตาสูง เชื่อมั่นตนเองในทางที่ผิด ชอบดูถูกคน เป็นตัวปัญหา แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนสร้างปัญหา
2. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการตามใจเขามากเกินไป ผลก็คือพ่อแม่กลายเป็นข้าช่วงใช้ของลูก ส่วนลูกกลายเป็น "ลูกบังเกิดเกล้า" ที่พ่อแม่ต้องยอมให้เขาทุกอย่าง ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมตามที่ลูกต้องการลูกบางคนก็ถึงขั้นทุบตีทำร้ายพ่อแม่
3. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่กล้าห้ามปรามสั่งสอนเมื่อลูกทำผิด ทำเลว ทำบาป ผลก็คือ ลูกสูญเสียสามัญสำนึก แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่เป็น มองไม่เห็นเส้นแบ่งทางจริยธรรมว่า ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร จึงกลายเป็นนักเลงอันธพาล ระรานคนเขาไปทั่ว
4. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการให้เงินลูกเพียงอย่างเดียว ผลก็คือ ลูกไม่รู้จักคุณค่าของเงิน ไม่เห็นคุณค่าของผู้ที่หา และให้เงิน ยิ่งได้เงินมาก ยิ่งผลาญเงินเก่ง มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ และทั้งๆที่ใช้จ่ายเงินสูง แต่กลับมีคุณภาพชีวิตต่ำ
5. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง เกรงว่าหากให้ลูกทำอะไรด้วยตนเองแล้วเขาจะลำบาก ผลก็คือเมื่อโตขึ้นลูกกลายเป็นลูกแหง่ที่พึ่งตนเองไม่ได้ ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็น ยิ่งเติบโตยิ่งเป็นตัวปัญหาของสถาบันครอบครัว
6. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมส่งเสริมให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี มัวแต่สนใจลงทุนในการทำธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่ไม่รู้จักลงทุนในการสร้างลูกให้เป็นปัญญาชน ผลก็คือลูกเติบโตแต่ตัว แต่ทว่ามีสติปัญญาที่ต่ำต้อย ขาดทักษะการคิด การใช้เหตุผล การทำงาน การเข้าสังคม เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถร่วมเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเท่านั้นแต่ยังสร้าง ปัญหาให้สังคมอีกต่างหาก
7. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการทำแต่งานสังคมสงเคราะห์นอกบ้าน โดยลืมไปว่าคนที่ตนต้องสงเคราะห์ก่อนดูแลก่อนต้องให้ความรักก่อนก็คือลูก ผลก็คือแม้จะกลายเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ประสบความสำเร็จนอกบ้าน สังคมสรรเสริญ แต่กลับเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวในบ้าน และลูกกลายเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น ไม่พร้อมจะแบ่งปันความรัก และความอบอุ่นให้ใคร
8. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักยกย่องชมเชยลูกเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการเรียน ในการทำงาน หรือในการทำกิจกรรมใดๆ ก็ตาม ผลก็คือลูกกลายเป็นคนใจคอคับแคบ ยกย่องชมเชยใครไม่เป็น เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสำเร็จ เขาจึงเป็นนักอิจฉาริษยาตัวฉกาจ ที่จ้องแต่จะหาทางทำลายคุณงามความดีของคนอื่น
9. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสอนเขาให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ผลก็คือ เมื่อโตขึ้น เขาจึงพร้อมผละหนีพ่อแม่ไปอย่างไม่รู้สึกผิด ไม่เห็นความจำเป็นว่า การเป็นลูกที่ดีนั้น จะต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของตนอย่างไร
10. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนลูกให้รู้จักการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ ผลก็คือเมื่อโตขึ้นเขาจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ คิดแต่จะกอบโกย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนมองไม่เห็นหัวคนอื่น แทนที่จะถือหลัก "ยิ่งรวยยิ่งให้ ยิ่งได้ยิ่งแบ่ง"กลับถือหลัก "ยิ่งรวยยิ่งคอร์รัปชั่น ยิ่งแบ่งปันยิ่งสูญเสียเปล่า"
11. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง ผลก็คือ ลูกกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไร ส่งผลให้ไร้ภาวะผู้นำ ต้องเดินตามคนอื่นโดยดุษฎี
12. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลก็คือเขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคาราวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนดีของเพื่อนมนุษย์
13. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่แนะนำให้ลูกรู้จักคบเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร (เพื่อนแท้) ผลก็คือรอบกายของเขาจึงมีแต่บาปมิตร (เพื่อนเทียม) คอยประจบสอพลอ คอยหลอกล่อให้ทำความเลวทรามต่ำช้า ติดสุรา ยาเสพติด นำพาชีวิตไปในทางเสียหาย ตกอยู่ใต้วังวนของอบายมุข สนุกสนาน ไม่สนใจหาแก่นสารให้กับชีวิต
14. พ่อแม่บางคนทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเป็นคนรักการอ่าน รักการเขียน รักการเรียนรู้ รักการเดินทาง ปล่อยให้เขาศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองไปตามยถากรรม ผลก็คือเขากลายเป็นคนหูตาคับแคบ ขาดความรู้พื้นฐาน ขาดความรู้รอบตัว ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การคิด พูด ทำ ไม่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ขาดความแหลมคม ตามไม่ทันโลก ตกข่าว เป็นคนว่างเปล่าทางความรู้ (รอบตัว) ความคิด จิตใจ และไม่มีรสนิยมอย่างอารยชน
ขอขอบคุณข้อคิดดีๆ จากท่าน ว.วชิรเมธี

รู้ไหม ทำไม...ต้องกินผลไม้ 5 ทัพพีทุกวัน คลิกซะ

หลายคนคงอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "ต้องกินผัก ผลไม้ทุกวัน" หรือ "ไม่อยากท้องผูกต้องกินผัก ผลไม้ให้ได้ 5 ทัพพี" เป็นคำพูดที่ฟังดูคุ้นชิน แต่ใครจะรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของลักษณะนิสัยการกินข้างต้น
ประโยชน์ของการกินผัก ผลไม้ 5 ทัพพี ทุกวัน

1.ลดอัตราเสี่ยงของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การกินผักผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสมทุกวันเป็นผลดี จากการศึกษาแบบติดตามไปข้างหน้าสรุปได้ว่า การกินผักผลไม้เป็นประจำทุกวัน ทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลง (อายุยืนยาวขึ้น) และอัตราการป่วยด้วยโรคหัวใจลดลง แต่ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ การกินของมัน อีกด้วย

2. เสริมสร้างความแข็งแรงของระบบกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน จากการวิจัยพบว่า ผัก ผลไม้ จะช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน

3. ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง จากรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่า ผู้หญิงที่กินผักผลไม้ 5.1 ส่วนต่อวัน จะสามารถลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมองได้ถึงร้อยละ 31 และร้อยละ 11 ตามลำดับ

4. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ป้องกันโรคมะเร็งบางชนิด

4.1 มะเร็งต่อมลูกหมาก การกินผัก ผลไม้ ที่มีเส้นใยสูง จะลดอัตราเสี่ยง 65 ปี จำนวน 1,230 คน พบว่า การกินผักมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก (ไม่พบในผลไม้) โดยเฉพาะผักที่มีเส้นใยสูง

4.2 มะเร็งของระบบทางเดินอาหาร จากงานวิจัยระดับนานาชาติ เกี่ยวกับการกินผักผลไม้กับความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง สรุปว่า การกินผักผลไม้จะลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะโรคมะเร็งระบบทางเดินอาหาร สามารถลดความเสี่ยงได้สูงถึงร้อยละ 20-30 และลดมะเร็งโดยรวมได้ประมาณร้อยละ 5-12

4.3 มะเร็งปอด การกินผักผลไม้จะทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดลดลงได้

5. ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน อ้วน รวมทั้งการป้องกันและขจัดภาวะขาดสารอาหาร จากรายงานขององค์การอนามัยโลก เรื่องโภชนาการและสารอาหาร กับการป้องกันโรคเรื้อรัง ได้มีข้อเสนอแนะให้กินผัก ผลไม้ อย่างน้อยวันละ 5 ทัพพีต่อวัน เพื่อป้องกันโรคเรื้อรังดังกล่าว

6. ประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่นๆ เช่น ชะลอการเกิดโรคต้อกระจก ลดอาการโรคหืด ช่วยระบบขับถ่าย ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น ความคุมน้ำหนักตัวไม่ให้สูงเกินไป
ที่มา : เฟซบุ๊ก นิตยสารหมอชาวบ้าน