พูดถึงหนังโป๊หนังลามกอาจจะดูเป็นเรื่องที่ดูไม่ดีหรือเรื่องต้องห้ามในสังคมไทย แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าใครๆเค้าก็ดูกัน(รวมถึงผม อิอิ) แต่อยากรู้กันไหมละครับว่าประเทศอะไรในโลกที่ครองแชมป์ดูหนังโป๊มากที่สุดในโลก จะใช่ประเทศไทยหรือเปล่าน้า ลองไปดูกันครับ
เว็บไซต์หนังลามกชื่อดังของสหรัฐฯ เผยสถิติพบชาวจีนครองแชมป์ดูหนังโป๊ผ่านเว็บไซต์นานสุดในโลก เฉลี่ย 14.34 นาที เผยข้อมูลรายเมืองคนปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ทิ้งเมืองอื่นๆ ทั่วโลกขาด ส่วนไทยอยู่ในระดับกลางๆ เฉลี่ย 8.15 นาทีสัปดาห์ที่ผ่านมา เว็บไซต์พอร์นฮับ (Pornhub) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ภาพยนตร์ลามกของสหรัฐฯ เปิดเผยสถิติและแผนที่ซึ่งแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาการเข้าชมเว็บไซต์ของตนของคนจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก ผลปรากฎว่า คนเข้าชมเว็บไซต์จากประเทศจีนครองอันดับ 1 ด้วยสถิติการเข้าชมเฉลี่ย 14 นาที 34 วินาที รองลงไปคือ บูร์กินาฟาโซในแอฟริกาตะวันตก 14 นาที 26 วินาที และฟิลิปปินส์ 14 นาที 22 วินาทีส่วนประเทศที่เข้าชมพอร์นฮับรวดเร็วที่สุด คือ อิรัก 5 นาที 30 วินาที รองลงไปคือ อียิปต์ และอาเซอร์ไบจันรับชมเฉลี่ย 6 นาที 17 วินาทีเท่ากัน โดยจากแผนที่บ่งชี้ว่าประเทศ/ภูมิภาคที่เป็นสีแดงยิ่งเข้มระยะเวลาการเข้าชมเฉลี่ยยิ่งน้อย ส่วนประเทศ/ภูมิภาคที่ถูกระบายด้วยสีเหลือง และเขียวยิ่งเข้มก็แสดงว่าเวลาการเข้าชมยิ่งมาก ส่วนประเทศไทยนั้นเข้าชมเว็บไซต์ภาพยนตร์ลามกดังกล่าวเฉลี่ย 8 นาที 15 วินาทีนอกจากนี้เว็บไซต์ดังกล่าวยังมีการทำสถิติเจาะเป็นรายเมืองในบางเมืองทั่วโลกอีกด้วย โดยกรุงปักกิ่งครองแชมป์ด้วยระยะเวลา 16 นาที 29 วินาที รองลงมาคือ เซี่ยงไฮ้ 15 นาที 58 วินาทีก็ถือว่าประเทศไทยยังอยู่ในระดับกลางๆนะครับ อิอิ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ใช่สนับสนุนให้ดูกันเยอะๆนะครับ ฮ่าๆข้อมูลข่าวจาก เมนเเจอร์,thaiza.com
อาหารมีความสำคัญกับเด็กวัยเรียน ทั้งต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ การเรียนรู้และสติปัญญา โดยร่างกายจะนำอาหารที่รับประทานไปเป็นส่วนประกอบของโครงสร้าง ตลอดจนการทำงานของทั้งร่างกายและสมอง
สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร จัดอบรมโภชนศาสตร์สำหรับครูโภชนาการของโรงเรียนในสังกัดสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ขึ้นเพื่อให้ครูได้รู้จักอาหารที่ดีสำหรับสุขภาพ เลือกอาหารได้ถูกต้อง และเน้นความสำคัญของอาหารเช้า และบริโภคอาหารอย่างภูกต้องเหมาะสม
นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ หน่วยพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าวว่า อาหารที่เหมาะสมสำหรับเด็กวัยเรียน ได้แก่ อาหาร 3 มื้อ ที่มีสารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 ได้แก่ 1.คาร์โบไฮเดรต 2.โปรตีน 3.ไขมัน 4.วิตามิน และ 5.เกลือแร่ ร่วมกับมีนมเป็นอาหารเสริมขนาดแก้วละ 240-250 ซีซี วันละ 2-3 แก้ว มีความสำคัญมาก เพราะจะเป็นแหล่งของสารอาหารและพลังงานหลักสำหรับการทำกิจกรรมระหว่างวันของเด็ก เด็กอายุระหว่าง 6-10 ปี จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3-3.5 กิโลกรัม

ส่วนสูงเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 6-7 ซม.ต่อปี ส่วนเด็กหลังอายุ 10 ปีไปแล้ว ควรมีน้ำหนักตัวเหมาะสมกับส่วนสูง โดยคำนวณจาก ดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกก.)/ส่วนสูง (ยกกำลังสอง)(หน่วยเป็นเมตร) อยู่ระหว่าง 18.5-23.0 กก./ม. (ยกกำลังสอง)
การจัดและควบคุมให้เด็กรับประทานอาหารอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกายทั้งปริมาณ และคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อควบคุมให้เด็กมีน้ำหนักตัวอย่างเหมาะสม จะส่งผลดีต่อพัฒนาการทางร่างกาย ตลอดจนถึงสมองและการเรียนรู้ของเด็ก เป็นการป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังในวัยเด็กและเมื่อเติบโตขึ้นได้ ที่สำคัญ เด็กในวัยเรียนควรเน้นให้เด็กได้รับประทานอาหารเช้าอย่างเพียงพอ ทั้งปริมาณและสารอาหารเพื่อเป็นแหล่งของสารอาหารและพลังงานอย่างเพียงพอ ต่อการปฏิบัติภารกิจประจำวันของเด็กในวัยนี้ ครูและโรงเรียนต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เช่นในโรงเรียนไม่ให้ขายน้ำหวาน
ขณะที่ ร.อ.หญิง กรกต วีรเธียร นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวว่า การจัดอาหารสำหรับนักเรียนนั้น เด็กจะต้องได้รับอาหารหลักให้ครบทั้ง 3 มื้อไม่ควรเว้นมื้อใดมื้อหนึ่งโดยเฉพาะมื้อเช้า อาหารที่เด็กได้รับจะต้องได้สัดส่วนของสารอาหารและพลังงาน ควรให้เด็กบริโภคอาหารตรงเวลา ไม่ควรให้เด็กรับประทานขนมจุบจิบ ควรจัดอาหารว่างที่มีคุณภาพให้เด็กบริโภคตอนสายและตอนบ่าย และในแต่ละมื้อไม่ควรจัดให้มีอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลอย่างเดียว ควรพยายามจัดให้ครบหมู่ ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อาหารหมักดอง เนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก อาหารรสจัด น้ำอัดลม/ชา/กาแฟ ขนมหวาน ขนมกรุบกรอบ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูล : หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก โดย ถนัดกิจ จันกิเสน
- เลือกเสื้อผ้าเด็กอย่างไรให้ปลอดภัยต่อลูกน้อย
เรื่องของภูมิต้านทานนั้นภูมิต้านทานของเด็กน้อยตั้งแต่วัยแรกเกิดจนไปถึงวัย 3 ขวบจะมีภูมิต้านทานที่ยังไม่แข็งแรงมากนัก ทำให้เด็กวัยนี้เจ็บป่วยได้ง่ายมาก ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เด็กอ่อนแอและมีภูมิต้านทานต่ำนั้นล้วนอยู่รอบตัวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ไรฝุ่น ละอองหญ้า เกสรดอกไม้ เตียงนอนที่ทำจากใยสังเคราะห์ ไม่มีสัญลักษณ์ Sanitized ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ช่วยปราศจากไรฝุ่น ที่เป็นสาเหตุของการเกิดภูมิแพ้ ผ้าปูเตียงนอนที่ไม่สะอาด อาหารที่ไม่ได้ปรุงสุกใหม่ๆ เครื่องปรับอากาศที่ไม่ได้ทำความสะอาด ฝุ่นในห้องนอน และยังรวมไปถึงเสื้อผ้าที่เด็กสวมใส่ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กเจ็บป่วยได้อีกด้วย
เสื้อผ้าเด็ก ในปัจจุบันมักมีสีสันและเพิ่มลวดลายต่างๆเข้าไปมากมาย รวมทั้งยังมีการใช้เส้นใยผ้าที่มีวิธีการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย ซึ่งในขณะที่พ่อแม่เลือกชุดที่สีสันเหมาะกับวัยในลูกอยู่นั้น รู้หรือไม่ว่าบางทีคุณกำลังหยิบยื่นความอ่อนแอให้กับลูก จนอาจทำให้พวกเขาไม่สบายในที่สุด ซึ่งวิธีการเลือกเสื้อผ้าให้ปลอดภัยจากเชื้อโรคมีมากมาย ดังนี้
- 1.เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติอย่างผ้าคอตตอน 100% หรือผ้าออแกนิคเท่านั้น เพราะมีผิวสัมผัมนิ่ม ลดการระคายเคือง นอกจากนี้เส้นใยธรรมชาติยังช่วยลดการเกาะของไรฝุ่นได้อีกด้วย
2.อย่าเลือกเสื้อที่ลูกใส่ได้พอดีตัว เพราะจะทำให้เด็กอึดอัดและเสื้อยังระบายอากาศได้ไม่ดี จึงทำให้เกิดโรคผิวหนังและโรคภูมิแพ้ได้ง่าย
3.การเลือกเสื้อผ้าตามร้านจำหน่ายเสื้อผ้าเด็กทั่วไป ควรตรวจสอบให้ดีว่าเป็นสินค้าที่ใหม่และสะอาดจริงๆ เพราะร้านส่วนใหญ่มักจะแขวนเสื้อไว้ตามราว และมีผู้คนหยิบจับอยู่เสมอ ทำให้เชื้อโรคสามารถกระจายตัวจากเสื้อผ้าได้
4.ตรวจสอบการตัดเย็บของสินค้าไม่ให้มีส่วนคมหรือส่วนแข็งที่สามารถบาดผิวหนังได้
เลือกเสื้อที่ไม่มีกระดุมแต่อาจใช้การผูกโบว์แทน เพราะกระดุมเป็นของแข็ง เมื่อลูกนอนทับอาจเป็นแผลและหากลูกของคุณซุกซนสามารถดึงกระดุมเสื้อมาเล่นได้นั้น ยิ่งต้องหลีกเลี่ยงเสื้อประเภทนี้
นอกจากนี้การนำผ้าปูที่นอนหรือชุดเครื่องนอนของลูกน้อย เช่น ผ้าห่ม ปลอกหมอน ออกมาซักเป็นประจำทุกๆ 1-2 สัปดาห์ ก็ยังช่วยลดการเกิดไรฝุ่นที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ในเด็กได้อีกทางหนึ่งด้วยข้อมูล : http://www.coolstylekids.com/store/article/view/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81-138897-th.html
คงปฏิเสธไม่ได้นะครับ ว่าในยุคนี้สมัยนี้นั้นคุณพ่อคุณแม่มักจะให้ลูกๆหลานใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเล่นกันทั้งนั้น โดยท่านผู้ปกครองอาจจะให้บุตรหลานใช้ในประโยชน์ที่ต่างๆกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษาหรือเพื่อความสนุกสนานต่างๆ โดยพ่อแม่ชาวเอเชียใช้ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเลี้ยงบุตรหลานในเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก
โดยtheAsianparent.com เว็บท่าเกี่ยวกับแม่และเด็กชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รายงานผลสำรวจ "การใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของเด็ก" กรณีศึกษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสำรวจความคิดเห็นตัวอย่างของพ่อแม่ 2,714 คนที่มีลูกในช่วงวัย 3-8 ปีอย่างน้อย 3,900 คน ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ผลการสำรวจพบว่า พ่อแม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบทั้งหมด คือมากถึงร้อยละ 98 อนุญาตให้ลูกเล่นสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ร้อยละ 41 ของเด็กๆ มีแนวโน้มเล่นอุปกรณ์ดังกล่าวนานกว่า 1 ชั่วโมงต่อหนึ่งครั้ง ความคาดหวังของพ่อแม่ ที่ให้บุตรหลานใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต พวกเขาต้องการให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษามากที่สุด คือ ต้องการให้ลูกได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีตั้งแต่ยังเด็กร้อยละ 68 รองลงมาคือใช้เพื่อความสนุกสนานของลูกร้อยละ 57 และเพื่อทำให้ลูกเงียบหรืออยู่นิ่ง ๆ ร้อยละ 55 โดยพวกเขามีความกังวลเกี่ยวกับผลเสียได้แก่ ผลเสียต่อสุขภาพของเด็ก ๆ มากที่สุด ร้อยละ 92% ความเสี่ยงที่เด็กๆ จะเสพติดการใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ร้อยละ 90 และ การเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ร้อยละ 88 นอกจากนี้ยังกังวลเรื่องการซื้อแอพและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่มาจากแอพพลิเคชั่น ร้อยละ 67 และกังกวลว่าเด็ก ๆ จะทำให้อุปกรณ์เสียหายเกินครึ่งขณะที่เด็กในกลุ่มตัวอย่างเกือบ 4 พันคน ช่วงอายุ 3-5 ปี จะใช้แอพพลิเคชั่นการศึกษา ดูวิดีโอและเล่นเกม ขณะที่เด็กวัย 6-8 ปี ใช้เพื่อการเล่นเกมมากกว่า ซึ่งตรงข้ามกับความต้องการของพ่อแม่ พ่อแม่ส่วนใหญ่ในกลุ่มตัวอย่างคือร้อยละ 94 ต้องการให้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของตัวเอง มีกลไกให้ผู้ปกครองคัดกรองเนื้อหา การตั้งเวลาการใช้งาน การตั้งค่าบล็อกการเสียเงินจากแอพพลิเคชั่น ผลการสำรวจในครั้งนี้ เป็นการจัดทำครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อแสวงหาแนวทางการแก้ปัญหา เติมเต็มช่องว่างระหว่างความ คาดหวังผู้ปกครอง กับพฤติกรรมการใช้งานจริงของบุตรหลาน ข้อมูลจาก voicetv,thaiza.com