Translate

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การเจียวไข่ให้ฟู โดยวิทยาศาสตร์

เป็นเรื่องของศิลปะ
บางคนว่า แค่...ใส่ความตั้งใจเข้าไป และแสนสำคัญคือ จริงใจกับไข่...
ทว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิทยาศาสตร์ช่วยให้การทอดไข่ "ฟู" ได้ดังใจเช่นกัน
ลองไปฟังกระบวนการที่วิศวกรบางกลุ่มคิดค้นหลักการทอดไข่ให้ฟู ด้วยวิธีดังต่อไปนี้...

1.เติมน้ำลงไปในอัตราส่วน น้ำ 12.865 ซีซี ต่อไข่ไก่มวล 2.86792 กรัม หรือประมาณ 2.653 ฟอง
2.หลังจากการตีไข่ด้วยเครื่องปั่นที่ความเร็ว 1200 รอบต่อวินาที เป็นเวลา 1 นาที หรือถ้าตีด้วยส้อมก็จะใช้ความเร็ว 2608.50 ทีต่อชั่วโมง เพื่อให้อะตอมของน้ำแทรกเข้าไปในอนูของไข่อย่างเต็มที่ จากนั้นรีบเทส่วนผสมลงไปในน้ำมันที่กำลังเดือดปุดๆ ณ อุณหภูมิประมาณ 1250.75 องศาฟาเรนไฮต์
3.ที่อุณหภูมิขนาดนั้น จะทำให้อะตอมของน้ำทำปฏิกิริยาคาโรแดนโนโทรฟี่ไดแอ็คโครโรซีนิกส์กับน้ำมัน ทำให้อะตอมของน้ำเกิดการระเหยอย่างฉับพลันหรือที่เรียกกันว่า แอนฟี่ไออ้อน ไตรแซ็คนีเฟียส ทันทีที่มีอะตอมของน้ำระเหย จะดันอะตอมของไข่ไปรอบๆ ตัวมัน ผลก็คือ เกิดการพองเป็นเม็ดๆ ไปทั่วไข่
4.การพองดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเยี่ยงปฏิกิริยานิวเคลียร์ ทำให้ไข่ฟูฟ่องเต็มกระทะ น่ากินยิ่งนัก
5.ผลการทดลองสำเร็จไปด้วยดี แต่...เกิดผลข้างเคียงจากการผสมน้ำลงไปในไข่นั่นคือ เกิดแก๊สอโลม่าซานโฟนิออสโพรฟิเนคีติ ซึ่งค่อนข้างมีกลิ่นหืนน้อย ทางวิศวกรจึงได้เติมน้ำมะนาวลงไป 5.006 ซีซี หรือ 1/6 ผล
6.ผลปรากฏว่า ไข่เจียวมีกลิ่นหอมน่าทานเป็นยิ่งนัก จึงได้มีการเผยแพร่เคล็ดลับนี้ตามสถานีข่าวและเว็บไซต์ชั้นนำของโลก จนเป็นที่กล่าวขวัญมาจวบจนทุกวันนี้
ป.ล. จะให้ง่ายกว่านั้น สูตรการเจียวไข่ให้ฟูจากเคล็ดลับมือแม่ ...บีบมะนาวใส่สักเล็กน้อย ทอดในน้ำมันร้อนๆ (ใส่น้ำมันเยอะๆ จะให้ดีควรใช้กระทะก้นลึก) เท่านี้ก็ได้ไข่เจียวฟูหอมกรุ่นแล้ว

ที่มา นสพ.มติชน

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผลวิจัยชี้ทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากไปเสี่ยงโรคภัยถามหา

ผลวิจัยชี้กินมากเกินไป ทั้งราเม็ง บะหมี่เหลือง รวมถึงวุ้นเส้น เพิ่มความเสี่ยงก่อให้เกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคเส้นเลือดสมองอุดตัน

ผลวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร นิวทริชั่น ( Nutrition ) พบว่า "ราเม็ง" รวมถึงผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอื่นๆ อาจทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคทางหัวใจและเมทาบอลิก ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะก่อให้เกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคเส้นเลือดสมองอุดตัน โดยเฉพาะผู้หญิง โดยนักวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้ยืนยันว่า ผลวิจัยชุดนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคนจำนวนมากหันมาบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปริมาณมาก โดยไม่รู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพ
ทั้งนี้ ผลวิจัยนี้ได้มาจากการศึกษาผู้ใหญ่อายุระหว่าง 19-64 ปี จำนวนกว่า 10,000 คน ผ่านการสำรวจโดยตัวแทนของสถาบันตรวจสอบโภชนาการและสุขภาพแห่งชาติเกาหลีเมื่อปี 2007-2009 พบว่า การกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทั้ง ราเม็ง , บะหมี่เหลือง , วุ้นเส้น และอื่นๆ มากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์ จะมีส่วนเชื่อมโยงกับโรคทางหัวใจและเมทาบอลิก ซึ่งจะไปทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบไต รวมถึงระบบเผาผลาญอาหารในร่างกายทำงานผิดปกติ และเนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมักใส่อยู่ในถ้วยโฟม ซึ่งมีสารบีพีเอ ซึ่งเป็นสารรบกวนระบบฮอร์โมน ดังนั้น ผู้หญิงที่รับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ่อยๆ จึงมีผลกระทบกับร่างกายมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังเต็มไปด้วยส่วนผสมที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น สารกันบูด ผงชูรส และมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูงมาก
อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีตัวเลขการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่อคนต่อปีมากที่สุดในโลก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จึงพบคนเกาหลีมีปัญหาสุขภาพกันมาก ทั้งโรคหัวใจและโรคอ้วน

ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวสปริงนิวส์

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ช็อกโกแลตซีสคืออะไร (Chocolate Cyst)

ช็อกโกแลตซีส


ปกติเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกจะต้องอยู่ในโพรงมดลูก มีหน้าที่สำคัญ คือ เป็นพื้นผิวสำหรับตัวอ่อนของทารกมาเกาะเพื่อการตั้งครรภ์ เซลล์เหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่ง คือ มีการแบ่งตัวได้ตามการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศหญิง และมีการสลายตัวเป็นประจำเดือนตามรอบระดู ดังนั้นตามธรรมชาติ หากเซลล์เหล่านี้อยู่เฉพาะในโพรงมดลูกจะไม่เกิดปัญหา เนื่องจากร่างกายจะขับออกมาเป็นรอบเดือน แต่เมื่อเซลล์เหล่านี้ไปเจริญอยู่ในส่วนอื่น จึงก่อให้เกิดปัญหาได้ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถขับออกมาได้ เช่น หากไปเกาะที่รังไข่ก็จะก่อตัวเป็นถุงน้ำซึ่งเป็ที่สะสมของเซลล์เหล่านี้และเลือดประจำเดือน และเมื่อสะสมอยู่นานจะกลายเป็นเลือดเก่า ๆ ที่เข้มข้นขึ้น ลักษณะจึงเหมือนน้ำช็อกโกแลต จึงเรียกถุงน้ำชนิดนี้ว่า ถุงน้ำช็อกโกแลต ( Chocolate Cyst)เซลล์เหล่านี้อาจจะกระจายเกาะอยู่ตามอุ้งเชิงกราน ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังจนเกิดพังผืดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะมีบุตรยาก นอกจากนี้ยังอาจจะแทรกตัวเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อของผนังมดลูก ทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือน และเลือดประจำเดือนออกมากได้ อะไรคือสาเหตุของโรคนี้ ในปัจจุบันเชื่อว่าสาเหตุเกิดจากเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกนี้ไหลตามเลือดประจำเดือน เข้าไปในช่องท้องและไปก่อตัวเจริญเติบโตอยู่ภายในช่องท้อง จะไม่เหมือนกันในแต่ละคน บางคนเพียงแค่เกาะอยู่เฉย ๆ และเจริญเติบโตเฉพาะที่ บางคนเกาะแล้วกินลึกลงไปในเนื้อเรื่อย ๆ ทำให้เนื้อเยื่อปกติเสียไป เช่น เนื้อของมดลูก เนื้อของท่อนำไข่ เป็นต้นการพัฒนาตัวของโรคไม่เหมือนกันนั้น ปัจจุบันยังไม่ทราบ จึงมีสมมุติฐานอื่น ๆ ที่พยายามอธิบายถึงกลไกการเกิดโรคอีกเพิ่มเติม เช่น ความผิดปกติของภูมิต้านทาน แต่ละคนไม่เท่ากัน คนที่มีภูมิต้านทานดี เมื่อเซลล์เหล่านี้ไหลเข้าไปในช่องท้องก็จะถูกกำจัดออกไปได้โดยภูมิต้านทานของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสมมุติฐานเกี่ยวกับสาเหตุจากสิ่งแวดล้อม มลภาวะ และกรรมพันธุ์อีกด้วย 

อาการของโรค
     อาการของโรคนี้จึงขึ้นกับตำแหน่งที่เซลล์ไปเจริญเติบโตอยู่ โดยอาจลองแยกพิจารณาตามตำแหน่งที่โรคไปเจริญเติบโตอยู่ดังนี้

ตำแหน่งที่เกาะ
       • เยื่อบุช่องท้อง อุ้งเชิงกราน 
       • รังไข่ 
       • มดลูก
อาการ
       • ปวดในช่องท้อง ท้องน้อย หรืออุ้งเชิงกราน มีบุตรยาก 
       • ถุงน้ำรังไข่ ( Chocolate cyst) ปวดท้องน้อย 
       • ปวดประจำเดือน ประจำเดือนออกมาก 
       • อาการปวดต่าง ๆ เหล่านี้ มักจะรุนแรงขึ้นขณะที่มีประจำเดือน หรือ ช่วงก่อน/ หลังมีประจำเดือน 
       • ในรายที่เจริญที่รังไข่ อาจจะพบว่ามีก้อนในช่องท้อง จากถุงน้ำรังไข่ ที่โตขึ้นโดยไม่มีอาการแต่อย่างไรเลย 
       • ในรายที่เป็นโรคระยะรุนแรงจะมีพังผืดเกิดขึ้นจำนวนมาก หรือท่อนำไข่ถูกทำลายไป จากเซลล์เหล่านี้เข้าไปเกาะหรือฝังตัวในท่อนำไข่ ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหามีบุตรยากได้ 

การตรวจวินิจฉัยโรค 
      จากอาการและการตรวจภายใน แพทย์อาจจะพอบอกได้ว่าผู้ป่วยมีโรคนี้หรือไม่ หากยังสงสัยแพทย์จะทำการอัลตร้าซาวนด์ ตรวจดูอวัยวะในอุ้งเชิงกราน

By โรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อาหารต้านแดด

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
อากาศร้อนอย่างนี้ แน่นอนว่ามีผลกระทบต่อผิวหนังของเราโดยตรง ไม่ว่าจะปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวแดงหรือไหม้ ไปจนถึงปัญหามะเร็งผิวหนัง หลายคนจึงมักเลือกใช้ครีมกันแดดที่ช่วยบำรุงผิวและป้องกันแดดได้ แต่นอกจากครีมกันแดดแล้ว ใครจะรู้ว่าอาหารก็ช่วยต้านแดดได้เช่นกัน
ศูนย์สมุนไพรพระยาอภัยภูเบศร เปิดเผยว่าที่ผ่านมา มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถยืนยันได้ว่า การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยต่อต้านแสงแดดได้ดี และป้องกันผิวไหม้ได้ด้วย โดยเฉพาะอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนที่พบในผักใบเขียว แครอท พริก พริกหยวก และผลไม้สีเหลืองอย่างมะม่วง แตงโม แต่ต้องทานอย่างน้อย 10 สัปดาห์ขึ้นไป
นอกจากนี้ อาหารที่มีสารไลโคปีน สารอีกตัวหนึ่งในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ก็มีส่วนช่วยป้องกันผิวไหม้จากแสงแดดเช่นกัน แต่ต้องรับประทานต่อเนื่อง 3 เดือนขึ้นไป พบในมะเขือเทศและฟักข้าว แถมยังช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย โดยเฉพาะในฟักข้าวยังมีไลโคปีนชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า ไลโปแคโรทีน (Lipocarotene) ซึ่งเป็นกรดไขมันสายยาวที่ช่วยดักจับและดูดซึมแคโรทีน ฟักข้าวจึงจัดเป็นแหล่งของไลโคปีนที่ดีที่สุด
ไม่เพียงแต่มะเขือเทศและฟักข้าวเท่านั้น ในผักผลไม้ชนิดอื่นก็ยังอุดมไปด้วยไลโคปีนด้วย เช่น แตงโม 1 ชิ้น (286 กรัม) มีไลโคปีน 12,962 ไมโครกรัม, มะละกอ 1 ผล (304 กรัม) มีไลโคปีน 5,557 ไมโครกรัม, มะม่วง 1 ผล (207 กรัม) มีไลโคปีน 6 ไมโครกรัม และในแครอท 1 ผล (72 กรัม) มีปริมาณไลโคปีน 1 ไมโครกรัม ขณะที่ในชาเขียว จะมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อ โพลีฟีนอล (Pholyphenols) ก็สามารถช่วยปกป้องผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายจากรังสียูวีได้ โดยร่างกายสามารถรับได้ทั้งจากการดื่ม และการทาครีมที่มีส่วนผสมของชาเขียว และยังมีงานวิจัยพบว่าสามารถป้องกันมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย
แต่การรับประทานอาหารก็เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกทำลายของผิวจากแสงแดดการทาครีมกันแดดก็ยังคงมีความจำเป็นที่ต้องใช้เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดด และควรควบคู่กับการหลีกเลี่ยงแสงแดด โดยเฉพาะช่วง 10.00-16.00 น.
ซึ่งเป็นช่วงที่แดดแรง หรือสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันแสงแดด หากมีความจำเป็นต้องออกแดด
ที่มา : นสพ.มติชน

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แผนไทยชู "เกสรดอกไม้" ดื่มป้องกันโรค-คลายร้อน

กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ชูเบญจเกสร"พิกุล บุนนาค สารภี มะลิ บัวหลวง" น้ำดอกไม้ห้าชนิดดับร้อน ป้องกันโรคลมแดด แนะผสมสมุนไพรอื่น ช่วยบำรุงเลือด หัวใจ แก้ท้องร่วง อาเจียน
เมื่อวันที่ 29 เมษายน นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แถลงข่าว "เตรียมรับภาวะวิกฤตอุณหภูมิสูงด้วยภูมิปัญญาไทย" ว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีอุณหภูมิร้อนสูงสุดในรอบปี ทำให้ประชาชนมีโอกาสเจ็บป่วยได้ ทั้งโรคผิวหนังที่เกิดจากการเหงื่อออก ผิวหนังไหม้เกรียมแดด เกิดฝ้า โรคลมแดดจากการสูญเสียน้ำ และอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น โรคอุจจาระร่วง และโรคไข้หวัดต่างๆ ซึ่งสมุนไพรสามารถช่วยได้ทั้งหมด โดยโรคผิวหนังจากแดด โดยเฉพาะผิวหนังไหม้เกรียมจากแดด สามารถใช้แตงกวาในการสมานผิว รักษาผิวหนังที่ตาย ทำให้ผิวหนังสดชื่นอีกครั้ง ส่วนโรคลมแดด ขอแนะนำให้มียาหอมติดตัว นอกจากนี้ ยังมีเครื่องดื่มสมุนไพรตำรับเบญจเกสรหรือเกสร 5 ชนิด ประกอบด้วย 1.ดอกพิกุล มีรสเย็น แก้จับไข้ แก้ไข้หมดสติ บำรุงหัวใจ แก้เจ็บคอ แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ 2.ดอกบุนนาค สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ลมหาวเรอ แก้ตามัว บำรุงธาตุ ขับลม บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ 3.ดอกสารภี แก้โลหิตพิการ เจริญอาหาร เป็นยาหอม บำรุงหัวใจ ชูกำลัง 4.ดอกมะลิ สรรพคุณ มีรสเย็น บำรุงหัวใจ เป็นยาชูกำลัง และ 5.เกสรบัวหลวง ทำให้สดชื่น แก้หน้ามืด
นพ.ธวัชชัยกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีการนำตำรับดังกล่าวมาผสมสมุนไพรอื่นๆ เช่น ฝางเสน ซึ่งเป็นเนื้อไม้ที่มีสรรพคุณบำรุงเลือด บำรุงหัวใจ ผสมอบเชย แก้อ่อนเพลีย บำรุงธาตุ กฤษณา บำรุงเลือด แก้ท้องร่วง อาเจียน จันทน์แดง บำรุงเลือด นอกจากนี้ยังมีโกฐหัวบัว โกฐเขมา โกฐสอ โกฐเชียง ที่เป็นส่วนผสมตามตำรับยาโบราณ ช่วยขับลม บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แก้ไข้ แก้ไอ ได้ดี ที่รู้จักกันในชื่อน้ำยาอุทัย หยดใส่น้ำดื่ม สำหรับอาหาร แนะนำรับประทานอาหารที่มีรสขม รสเย็น จะเป็นพืช ผักหรือผลไม้ก็ได้ นำมาปรุงเป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม เพื่อเหมาะกับอากาศในช่วงหน้าร้อน เน้นพืชผักและผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นเป็นหลัก เมนูอาหารคลายร้อนที่แนะนำ ได้แก่ มะระทรงเครื่อง มะระมีสรรพคุณที่สำคัญคือเป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย บรรเทาอาการร้อนใน แก้อักเสบ เจ็บคอ อาหารประเภทแกงจืด อาจเป็นแกงจืดฟักเขียว แกงจืดตำลึง แกงจืดมะระยัดไส้ แกงขี้เหล็ก เป็นต้น
"จริงๆ แล้วยังสามารถดื่มน้ำสมุนไพรแบบง่ายๆ อย่าง น้ำบัวบก แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดอาการปวดศีรษะข้างเดียว บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ น้ำกระเจี๊ยบ สรรพคุณช่วยรักษาอาการร้อนในภายในช่องปาก ลดความดันโลหิต น้ำใบเตย ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยลดอาการกระหายน้ำ ทำให้ชุ่มชื่น น้ำมะนาว ช่วยย่อยอาหาร ป้องกันท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ไอ ขับเสมหะ น้ำมะพร้าว ช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย คลายความร้อน ดับกระหาย ซึ่งทั้งหมดล้วนช่วยคลายร้อนได้" อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์ฯกล่าว
ที่มา : นสพ.มติชน

ไขปริศนา! น้ำดื่มมีวันหมดอายุด้วยหรือ

คุณเคยสังเกต วันหมดอายุที่ติดอยู่ข้างขวดน้ำดื่มหรือไม่

น้ำไม่ได้หมดอายุ...ภาชนะที่บรรจุน้ำต่างหากที่หมดอายุหลายคนอาจไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าน้ำดื่มที่มีขายตามท้องตลาดนั้นจะต้องระบุวันหมดอายุเอาไว้ตาม พ.ร.บ.อาหารและยา (อย.) แม้น้ำจะยังคงบรรจุอยู่ในขวดที่ปิดฝาสนิทและยังคงความใส แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งขวดพลาสติกที่บรรจุ จะปล่อยสารพิษชนิดที่ละลายออกมาปะปนกับน้ำดังที่กล่าวไว้ในข้างต้น
จากรายงานข่าวคนเสียชีวิตจากการดื่มน้ำจากการใช้ขวดพลาสติกดังกล่าวผิดวิธีเช่นการนำมาใช้ซ้ำโดยนำไปบรรจุน้ำดื่มครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะขวดดังกล่าวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ครั้งเดียว มีอายุการใช้งานสั้น จึงไม่ควรนำมาบรรจุน้ำดื่มอีก การเก็บภาชนะเหล่านั้นถูกเก็บไว้ไม่เหมาะสม ทั้งนี้สารเคมีเช่น ทินเนอร์ (thinner) น้ำมันสารทำความสะอาดชนิดแห้ง แก๊สหลายชนิด สามารถผ่านพลาสติกเข้าไปได้ ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพของน้ำดื่มที่อยู่ในขวด
การเก็บขวดน้ำไว้ในช่องแช่แข็งที่เย็นจัดหรือเก็บขวดนั้นไว้ที่ร้อนๆเช่นในรถยนต์การสัมผัสกับความร้อนหรือแสงแดด เนื่องจากความร้อนจัด หรือเย็นจัด จะไปทำลายโรงสร้างของพลาสติก ทำให้พลาสติกเสื่อมคุณภาพและยิ่งปล่อยสารพิษปนเปื้อนในปริมาณที่สูงยิ่งขึ้น รวมไปถึงขวดน้ำที่เปิดใช้แล้ว ไม่ควรใช้นานเกินกว่า 1 อาทิตย์ เนื่องจากมีการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรค
ขอบคุณข้อมูลจาก พญ.อัจจิมา สุวรรณจินดา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเลเซอร์ผิวพรรณ ผ่าตัดมะเร็งผิวหนัง อาจารย์พิเศษ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

นานาประโยชน์จากการดื่ม "ชา"


มีผลงานการศึกษาวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นถึงคุณประโยชน์หลากหลายที่ได้จากการดื่มชาไม่ว่าจะเป็น หรือ ชาชนิดที่เรียกว่า ชาดำ หรือ แบล็ค ที ก็ตามที
ตัวอย่างของประโยชน์ที่ได้จากการดื่มชา มีตั้งแต่ ช่วยในเรื่อง "ความจำ" ทั้งนี้ งานศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาในวารสารวิชาการ ไซโคฟามาโซโลยี พบว่า "ชาเขียว" อาจช่วยทำให้การทำหน้าที่ของสมองดีขึ้น ซึ่งรวมถึงสมองในส่วนของหน่วยความจำใช้งาน (เวิร์คกิ้ง เมมโมรี) ที่ช่วยให้เราจำอะไรต่ออะไรได้แม่นยำยาวนานขึ้นอย่างเช่นหมายเลขโทรศัพท์เป็นต้น
ในการศึกษาดังกล่าวกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่ สุขภาพดี จำนวน 12 คน ได้รับมอบเครื่องดื่ม 2 แบบโดยการสุ่ม เครื่องดื่มแบบแรก มีส่วนผสมของสารสกัดจากชาเขียว 27.5 กรัม ส่วนเครื่องดื่มอีกแบบไม่มีส่วนผสมของชาเขียวอยู่ด้วย หลังจากนั้นมีการตรวจสอบทั้งภาพถ่ายของสมอง และ การทดสอบความทรงจำใช้งาน ปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับเครื่องดื่มผสมชาเขียว มีศักยภาพของสมองดีขึ้นในการทดสอบทั้งสองแบบ นอกจากนั้น การเชื่อมต่อระหว่าง สมองส่วนหน้ากับสมองส่วนขมับทั้งสองข้างก็ดีขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ผลการศึกษาดังกล่าวนี้สอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่ชี้ว่า คนที่ดื่มชาเป็นประจำ ทำผลการทดสอบเชิงความจำได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม
ประโยชน์อย่างที่สองของการดื่มชา ก็คือ การช่วยให้สุขภาพช่องปากดีขึ้น นักวิจัยพบว่า สารประกอบหลาบอย่างที่พบในแบล็ค ที และกรีน ที มีส่วนช่วยยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคฟันผุ, โรคติดเชื้อในช่องปาก, และโรคเหงือก ในงานวิจัยชิ้นหนึ่งสรุปว่า ผู้ที่บ้วนปากด้วยชาดำเพียง 1 นาที 10 ครั้งต่อวัน จะมีเชื้อแบคทีเรียสะสมบนเคลือบฟันน้อยกว่าคนทีบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า
แต่ที่สำคัญต้องไม่บ้วนปากด้วยน้ำชาที่ผสมน้ำผลไม้หรือน้ำส้มเนื่องจากน้ำผลไม้เหล่านั้นมีความเป็นกรดสูงที่ทำให้ฟันผุได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน
นักวิจัยยังพบว่าในชาเขียว มีสารประกอบชนิดหนึ่งเรียกว่า "โพลิฟีนอล" ซึ่งเชื่อกันว่ามีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็ง อย่างน้อยก็จากการทดลองในห้องปฏิบัติการ แม้ว่านักวิจัยหลายคนเห็นว่ายังยากที่จะสรุปให้แน่ชัดได้ว่า สารประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งจะสามารถต่อต้านมะเร็งในร่างกายได้ แต่ผลการศึกษาวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นหลักฐานว่า "โพลิฟีนอล" มีคุณสมบัติน่าสนใจนี้
ตัวอย่างเช่นงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งตรวจสอบพฤติกรรมการดื่มชาของคนกว่า500 คนพบว่า คนที่ไม่ดื่มชามีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งปอดมากกว่าคนที่ดื่มชาถึง 5 เท่าตัว และยังมีงานวิจัยอีกบางชิ้นที่ชี้ว่าการดื่มชาเขียวจะช่วยยับยั้งการขยายตัวของมะเร็งทรวงอกให้ลุกลามได้ช้ากว่าผู้ที่ไม่ดื่มจากการทดลองในสัตว์ทดลอง พบสาเหตุว่าเป็นเพราะ "โพลิฟีนอล" จะไปยับยั้งขยายตัวของโปรตีนซึ่งจะไปช่วยให้เซลล์มะเร็งเติบโตนั่นเอง
นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยที่ระบุว่าการดื่มชา จะไปช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพราะไปลดอนุมูลอิสระ ที่ก่อให้เกิดภาวะ ออกซิเดทีฟ สเตรส และอาการอักเสบของกล้ามเนื้อลงนั่นเอง งานวิจัยซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก สถาบันสุขภาพประจำศูนย์การแพทย์ทางเลือกของสหรัฐอเมริกา ทดลองในกลุ่มตัวอย่างสตรี 170 คน ซึ่งอยู่ในวัยหลังหมดประจำเดือน โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มแรกให้ยาที่ไม่ออกฤทธิ์ (พลาซิโบ) กลุ่มที่สองให้ดื่มชาเป็นประจำ และกลุ่มที่สามให้รำมวยจีนไท้เก็กเป็นประจำ กลุ่มสุดท้าย ให้ดื่มชาและรำมวยไท้เก็กเป็นประจำไปพร้อมๆกัน พบว่า ผู้ที่ดื่มชา และผู้ที่รำมวย กับผู้ที่กระทำทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกัน มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อดีขึ้น แตกต่างจากผู้ที่รับยาพลาซิโบที่อยู่ในสภาพกล้ามเนื้อแย่ที่สุด
สิ่งหนึ่งที่แพทย์และผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายเตือนเกี่ยวกับการดื่มชาก็คือการดื่มในปริมาณไม่มากนัก สม่ำเสมอ แม้จะมีประโยชน์ แต่ก็มีประโยชน์แต่น้อย ไม่มากมายเหมือนกับเป็นยาครอบจักรวา แต่ชาก็ดูมีโทษต่อผู้ดื่มน้อยมาก
ยกเว้นแต่จะดื่มมากจนผิดปกติ เกินกว่าที่ร่างกายมนุษย์จะรับได้เท่านั้นเอง

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"มะยงชิด" คุณค่าที่มากกว่าแคโรทีน

เมื่อฉบับที่แล้วเราได้พูดถึงเรื่องวิธีการเลือกซื้อมะม่วงสุกสำหรับ Mango lover กันไปแล้ว ในฉบับนี้เราจึงขอมาต่อกันที่ผลไม้รสสีเหลือง รสชาติหวานอมเปรี้ยวอีกชนิดหนึ่งนั่นก็คือ "" แต่ถึงแม้ว่าผลไม้ชนิดนี้จะเป็นที่ถูกอกถูกใจของใครหลายๆ คน แต่สำหรับบางคนที่ไม่รู้จักอาจจะถึงกับออกอาการงง มีคำถามมากมายผุดขึ้นในหัวว่า มะยงชิดคืออะไร หน้าตาเป็นยังไง กินแล้วได้อะไร เดี๋ยวเราจะไปทำความรู้จักกับมะยงชิดไปพร้อมๆ กัน

"มะยงชิด" เป็นพืชในกลุ่มเดียวกับมะปราง แต่แตกต่างกันด้วยขนาดของผลและใบ โดยมะยงชิดจะมีขนาดใหญ่กว่า คนส่วนใหญ่นิยมรับประทานมะยงชิดตอนที่สุกเหลืองเต็มที่แล้ว เพราะจะมีรสชาติหวานฉ่ำ แฝงด้วยรสชาติเปรี้ยวนิดๆ พอตัดเลี่ยน แถมทานแล้วไม่รู้สึกคันคอเหมือนมะปรางหวานทั่วไป สามารถเลือกปอกทานสดๆ ดื่มด่ำกับรสหวานตามธรรมชาติ หรือจะเอาไปทำเป็นขนมอย่างมะยงชิดลอยแก้ว ไว้รับประทานให้เย็นชื่นใจในวันที่อากาศร้อนระอุอย่างนี้ หรือปั่นเป็นสมูตตี้รสนุ่มก็ไม่เลวเหมือนกัน ส่วนผลดิบของมะยงชิดจะมีรสชาติเปรี้ยว ถ้าหากชอบ ก็สามารถฝานเป็นชิ้นๆ ไปจิ้มน้ำพริกหรือกะปิหวานก็ได้เช่นเดียวกัน
นอกจากรสชาติของมะยงชิดที่สามารถสร้างความรื่นรมย์ให้กับต่อมรับรสเป็นอย่างยิ่งแล้ว มะยงชิดยังได้ชื่อว่ามีเบต้าแคโรทีนสูงสุด และเมื่อเบต้าแคโรทีนถูกย่อยสลายที่ตับแล้ว สิ่งที่จะได้ตามมาก็คือวิตามินเอ ช่วยในการบำรุงสายตา ทำให้มองเห็นภาพในตอนกลางคืนหรือที่ที่มีแสงน้อยได้ดีขึ้น ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ในลูกตา และลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกอีกด้วย อีกทั้งในมะยงชิดยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง แถมยังมีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้ใครที่เริ่มกลืนน้ำลาย อยากไปจัดมะยงชิดมาสักครึ่ง"โล ก็อย่าเพิ่งรีบร้อน เพราะเรามีเคล็บลับการเลือกมะยงชิดมาบอกด้วยนะ ใครที่อยากทานมะยงชิดหวานๆ ก็ต้องเลือกผลที่มีส่วนสีเหลืองอมส้มประมาณ 80เปอร์เซ็นต์ ที่ขั้วมีสีเขียวเล็กน้อย ผิวนวล ไม่ช้ำ ไม่มีรอยด่างหรือรอยโรค แล้วใครที่คิดจะซื้อผลดิบมาบ่มให้สุกเหมือนมะม่วงล่ะก็อย่าเด็ดขาดเชียว เพราะมะยงชิดไม่สามารถบ่มได้เหมือนผลไม้อื่นๆ ต้องซื้อเฉพาะผลที่สุกพอดีเท่านั้น ซึ่งถ้าสุกมากไปเนื้อก็จะเละ ไม่อร่อย
ร้อนนี้ ถ้ายังไม่รู้จะเลือกซื้อมะยงชิดได้ที่ไหน แวะไป ตลาดไท กันดีกว่า เพราะที่นี่มีมะยงชิดสดๆ จากสวน ให้เลือกซื้อหาอย่างจุใจ ชอบเจ้าไหน ซื้อได้ทันที รับรองหวานฉ่ำโดนใจ คอนเฟิร์ม!!
ภาพ:thaikasetsart.com
คอลัมน์ ตลาดไท

ยืดอายุสบู่ก้อน ใช้นาน ใช้คุ้ม

นี่คือเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างคุ้มค่าขึ้น

เก็บในที่แห้ง: โดยเก็บให้อยู่ห่างจากน้ำหรือไอน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้สบู่ละลาย และเลือกที่เก็บสบู่แบบที่มีรูระบายน้ำซะ
เนื้อแข็งๆ จะดีกว่า: เลือกใช้สบู่ที่มีเนื้อแข็งๆ เพราะสบู่ชนิดนี้จะใช้แรงกดเยอะในการทำให้เป็นก้อนจึงทำให้คงรูปและหลอมละลายได้ช้ากว่า
ใช้ผ้าขนหนู: แทนที่จะใช้สบู่ถูกับผิวโดยตรง ซึ่งจะทำให้สบู่ละลายเร็วขึ้น ก็ใช้ผ้าขนหนูหรือใยขัดผิวถูกับสบู่ แล้วค่อยนำมาถูตัว วิธีนี้นอกจากจะไม่เปลืองสบู่แล้วสบู่ยังโดนรบกวนน้อยลงด้วย
ผึ่งให้แห้ง: ถ้าคุณเพิ่งซื้อสบู่มาใหม่ ก็แกะกระดาษห่อออก แล้วนำไปวางไว้ในลิ้นชักเสื้อผ้าซะ วิธีนี้จะช่วยให้สบู่แห้งขึ้น ซึ่งจะทำให้มีเนื้อแข็งและใช้งานได้นานขึ้น

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"เด็กไม่เอาถ่าน" คำนี้มาจากอะไร ?

เด็กที่วันๆ เอาแต่เล่นเกมส์ออนไลน์ ไม่อ่านหนังสือเรียน การบ้านไม่ทำ งานบ้านก็ไม่เคยคิดจะหยิบจับช่วยเหลือพ่อแม่ ทานอาหารแล้วไม่รู้จักล้างจานชาม เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างพฤติกรรมของ ""
ทำไมจึงเรียก "เด็กไม่เอาถ่าน" คาดกันว่าคำนี้มีที่มาจากคำเดิม คือ "เหล็กไม่เอาถ่าน" เพราะในสมัยก่อนนั้น การหลอมเหล็กหรือตีอาวุธจากเหล็กให้แข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องใช้ถ่านในการก่อเปลวไฟจนลุกโชน เพื่อให้ความร้อนแก่เหล็ก แล้วถ่านหรือคาร์บอนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในเนื้อเหล็กหลังจากการถลุง ถ้าเหล็กไม่มีถ่านผสมอยู่เลย เหล็กนั้นจะมีคุณภาพต่ำ ไม่แข็งและเหนียวพอที่จะเรียกว่า เหล็กกล้า แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เหล็กเปราะ เหล็กที่ดีควรมีคาร์บอนเข้าไปผสมอยู่ประมาณ 0.1 - 1.8%
ช่างตีอาวุธจากเหล็กในสมัยโบราณ จำเป็นต้องคิดค้นหากลวิธี เพื่อขจัดปัญหาดาบหัก เพราะแสดงถึงกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ดีทำให้เหล็กไม่เอาถ่าน จนกลายเป็นคำพูดติดปาก เปรียบเทียบนิสัยคนกับอาวุธว่า "เหล็กไม่เอาถ่าน"
ที่มา : หนังสือ ภาษาคาใจ ภาค 3 ถอดรหัสภาษาไทยที่ยัง 'ค้างคาใจ' เขียนโดย สังคีต จันทนะโพธิ

อดอาหารเช้าทำสมองตื้อ ชี้เป็นความเชื่อผิดๆช่วยลดน้ำหนัก

จากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชากรทั่วประเทศ ปี 2556 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจ 26,520 ครัวเรือน พบประชากรที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไปทานอาหารมื้อหลักครบ 3 มื้อในแต่ละวัน ร้อยละ 88 โดยพบสูงสุดในกลุ่มเด็กอายุ 6 -14 ปี ร้อยละ 93 และต่ำสุดในกลุ่มเยาวชนอายุ 15 - 24 ปี คือร้อยละ 87
เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2552 พบว่ากลุ่มเยาวชนมีอัตราการบริโภคอาหารครบ 3 มื้อลดลงร้อยละ 0.5 ในขณะที่ประชากรกลุ่มอื่นมีอัตราเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่มีอายุ 6 -14 ปีที่เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 13 ถือว่าเป็นเรื่องดี

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้ข้อมูลว่า ประชาชนที่รับประทานอาหารไม่ครบ 3 มื้อนั้น ส่วนใหญ่มักจะงดด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น ต้องตื่นแต่เช้าเร่งรีบไปเรียนหรือทำงาน ไม่มีเวลาพอสำหรับการเตรียมอาหารเช้า บางคนงดอาหารเช้าด้วยเหตุผลที่ต้องการลดน้ำหนัก จะพบมากในกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน เป็นความเชื่อที่ผิด
เนื่องจากการงดกินอาหารเช้าจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้ช่วงสายของวันจะรู้สึกหิว มีอารมณ์หงุดหงิด สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก ไม่มีสมาธิในการเรียนหรือทำงาน เกิดการผิดพลาดได้มากกว่า และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การทำงานจะด้อยกว่าคนที่กินอาหารเช้า เนื่องจากสมองต้องการน้ำตาลกลูโคสหล่อเลี้ยงตลอดเวลา และจะหันมารับประทานอาหารอื่น เช่นขนม ประเภทกินจุบกินจิบแทนการรับประทานอาหารเช้า ส่งผลให้อ้วนเพิ่มขึ้น

สำหรับอาหารเช้าเป็นมื้อที่มีความสำคัญสำหรับเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นเป็นอย่างยิ่ง เพราะอยู่ในวัยที่กำลังเจริญเติบโตมีความจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอเพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโตเต็มตามศักยภาพที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารมื้อเช้า และการได้รับอาหารเช้าที่เหมาะสม ควรประกอบด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อคงสภาวะระดับน้ำตาลในเลือดของเด็กให้อยู่เป็นเวลาที่ยาวนาน จะทำให้เด็กมีความสามารถในการเรียนรู้และประกอบกิจกรรม ที่ต้องใช้กำลังงานได้ดีขึ้น

โดย มื้อเช้าที่ดีควรประกอบด้วยอาหารอย่างน้อย 4 หมู่ ได้แก่ 1.อาหารประเภท ข้าว แป้ง จะให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรต 2.เนื้อสัตว์ นม ไข่ ให้สารอาหารโปรตีน 3.ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ให้สารอาหารไขมัน 4.ผักชนิดต่างๆให้วิตามินและแร่ธาตุ และหากมีผลไม้ด้วยก็จะครบ 5 หมู่ จะให้ผลดีต่อร่างกายเป็นอย่างมาก

รู้หรือไม่? เปลือกผลไม้ก็มีประโยชน์

รู้หรือไม่? ก็มีประโยชน์มากมายเลยนะ ^^

เปลือกกล้วย : ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น ไม่แห้งกร้าน โโยใช้เปลือกกล้วยล้างน้ำให้สะอาดแล้วใช้ถูกับมือ ข้อเท้า ขา นอกจากนี้เปลือกกล้วยน้ำว้ายังสามารถใช้แทนน้ำยาขัดรองเท้าได้อีกด้วย
เปลือกสับปะรด  : นำภาชนะพวกทองเหลืองหรือเครื่องเงินแช่ในน้ำ ใส่เปลือกสัปปะรดลงไปให้มิดทิ้งไว้ 1 คืน แล้วนำมาล้างให้สะอาด เครื่องเงินและทองเหลืองจะสดใสราวกับของใหม่
เปลือกส้ม : นำเปลือกส้มเขียวหวานไปตากให้แห้งสักแดดสองแดด แล้วนำมาสุมไฟไล่ยุ่งได้
เปลือกส้มโอ : นำเปลือกส้มโอหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในน้ำเดือดประมาณ 20 นาที แล้วมาขัดถูภาชนะที่ทำจากอลูมิเนียมพร้อมกับสบู่ ทำให้ภาช
เปลือกทุเรียน : นำไปตากแห้งใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านได้ บรรเทาอาการร้อนใน นอกจากนี้นำน้ำใส่ในเปลือกทุเรียน เอามาล้างมือล้างปากก็สามารถแก้กลิ่นทุเรียนที่ติดอยู่ได้อีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสำโรงการแพทย์, ช่อง 7

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ทำไม ห้ามดื่มเหล้าแกล้มทุเรียน ???

นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ทุเรียนจัดอยู่ในอาหารกลุ่มผลไม้ที่ให้วิตามินและแร่ธาตุ และเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต หากต้องการกินทุเรียนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี จึงไม่ควรกินทุเรียนเกิน 2 เม็ดกลาง หลังกินอาหารจานหลัก


"ถ้ากินทุเรียนครั้งละ 2-3 พู หรือประมาณ 4-6 เม็ด เท่ากับว่าร่างกายจะรับพลังงานถึง 400 กิโลแคลอรี ซึ่งพอๆ กับกินข้าว 5 ทัพพี หรือน้ำอัดลม 2 กระป๋อง ดังนั้น คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หัวใจ และความดันโลหิตสูง ควรระมัดระวังการกินทุเรียน อาจกินได้ แต่ให้กินในปริมาณที่น้อยกว่าคนปกติ และไม่บ่อยครั้ง เพราะทุเรียนเป็นอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง" นพ. พรเทพ กล่าวและว่า ส่วนคนธาตุไฟการกินทุเรียนแล้วทำให้เกิดโรคร้อนในและเจ็บคอได้ง่าย วิธีป้องกันคือ ดื่มน้ำผสมเกลือแกงครึ่งช้อนชาหรือดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อขับสารซัลเฟอร์และช่วยลดอาการร้อนในได้

นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ไม่ควรกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากทุเรียนมีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้พลังงานสูง เมื่อกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการย่อยสลายน้ำตาลที่เนื้อเยื่อต่างๆ ที่กล้ามเนื้อและไขมันเพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นไขมันและไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ซึ่งทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูงมากกว่าปกติ ผลที่เกิดตามมาคือ การย่อยสลายทุเรียนและแอลกอฮอล์จะให้ความร้อนและเป็นกลไกที่ต้องใช้น้ำ และจะทำให้คนกลุ่มนี้มีน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะดึงน้ำออกมาเพื่อขับออกจากร่างกายในรูปปัสสาวะ โดยจะปัสสาวะมากแม้ว่าร่างกายขาดน้ำ ที่สำคัญกินทุเรียนร่วมกับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้รู้สึกตัวร้อน ไม่สบายตัว แต่ถ้ากินมากจนเมาหลับไปร่างกายจะขาดน้ำอย่างรุนแรง เมื่อถึงจุดหนึ่งสมองจะเสียน้ำมาก ระดับ เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ สมองทำงานไม่ดี เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการหน้าร้อนวูบวาบ สั่น ง่วงซึม อาเจียน คลื่นไส้ หากหมดสติและนำส่งโรงพยาบาลไม่ได้ทันอาจเสียชีวิตได้

4 คำสอนในการเลี้ยงดูบุตรของคนจีน


1 เด็กทารก (ขวบปีแรก)
เลี้ยงให้มั่น อย่าปล่อยให้ห่างตัว เป็นช่วงที่ควรโอบกอดให้มากๆ เพื่อให้เด็กรู้สึกอบอุ่นสบายใจที่ได้รับการทนุถนอมและความคุ้มครอง
2 เด็กอ่อน (1-5 ปี)
ปล่อยให้ห่างตัวแต่อย่าปล่อยให้ห่างมือ เป็นช่วงที่เด็กอยากรู้อยากเห็น จึงควรปล่อยให้ห่างตัว แต่ก็ยังต้องคอยให้การปกป้องคุ้มครอง
3 เด็กชาย - หญิง (6- 16 ปี)
ปล่อยให้ห่างมือ แต่อย่าปล่อยให้ห่างสายตาเป็นช่วงที่เด็กเรียนรู้สังคมจากการคบหาเพื่อนฝูง จึงควรปล่อยให้ทำกิจกรรมอย่างมีอิสระ แต่ก็ยังต้องคอยช่วยเฝ้าดู เพื่อไม่ให้พลั้งเผลอเดินผิดเส้นทาง
วัยรุ่น (16 ปี - 20 ปีขึ้นไป)
ปล่อยให้ห่างสายตา แต่อย่าปล่อยให้ห่างใจเป็นช่วงที่เด็กมีความคิดเป็นตัวของตัวเอง และกำหนดเส้นทางชีวิตแล้ว พ่อแม่จึงควรปล่อยให้เด็กใช้ชีวิตตามเส้นทางของตน แต่ยังคงเป็นที่พึ่งและที่ยึดเหนี่ยวทางใจ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/motherandcare

ข้าวเหนียวมะม่วงกินอย่างไรไม่ให้เกิดโทษ

มะม่วง คือหนึ่งในผลไม้ยอดนิยมตลอดกาล แต่หลายๆ คนอาจยังไม่ทราบถึงคุณประโยชน์เชิงสุขภาพของมะม่วง หรืออาจยังมีแง่มุมที่คุณยังไม่แน่ใจ เช่น กินมะม่วงสุกทำให้อ้วนไหม ทำให้อ้วนใช่หรือไม่ โดยเฉพาะสาวๆ ที่รักษารูปร่าง จะไม่ยอมกินข้าวเหนียวมะม่วงเลย
กินข้าวเหนียวมะม่วงอย่างไร ไม่ให้เกิดโทษ
1. กินมะม่วงมากกว่าข้าวเหนียว เช่น กินมะม่วงสุกครึ่งลูก (ขนาดกลาง) จะได้พลังงานประมาณ 70 กิโลแคลอรี ส่วนข้าวเหนียวมูนให้กิน 100 กรัม หรือ 1 ขีด จะให้พลังงาน 280 กิโลแคลอรี เมื่อรวมกันแล้วจะเท่ากับ 350 กิโลแคลอรี
2. กินข้าวเหนียวมะม่วงช่วงเวลากลางวัน เพราะกลางวันเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องใช้พลังงานทำกิจกรรมต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงการกินมื้อเย็น เนื่องจากมีกิจกรรมที่ต้องทำน้อยกว่าช่วงกลางวัน พลังงานที่ได้รับเข้าไปอาจเผาผลาญและนำไปใช้ไม่หมด เกิดเป็นไขมันสะสมตามร่างกายได้
3. ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ต้องระมัดระวังเพราะข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารที่มีทั้งน้ำตาลและไขมันปริมาณที่ค่อนข้างสูง จึงแนะนำให้กินสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และควรลดปริมาณข้าวเหนียวลงให้เหลือสักครึ่งขีดกรณีที่ต้องการกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์
4. คนสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว อาจจะกินข้าวเหนียวมะม่วงได้มากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ต้องไม่ลืมว่าข้าวเหนียวมะม่วงให้พลังงานเทียบเท่ากับการกินอาหารมื้อหลัก 1 มื้อเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานที่กินเข้าไป
5. เลือกกินข้าวเหนียวดำ (ถ้าเป็นไปได้) หรือข้าวเหนียวที่มูนด้วยน้ำกะทิที่ผสมสีที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ดอกอัญชัน แครอต ขมิ้น และใบเตย เพราะจะได้รับสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มากกว่าการกินข้าวเหนียวขาว
6. กินมะม่วงแก่จัด เพื่อให้ได้รสชาติดีและสารอาหารจากมะม่วงครบถ้วน ควรซื้อมะม่วงที่แก่จัด และควรปล่อยให้สุกตามธรรมชาติ เนื่องจากมะม่วงที่บ่มแก๊สจะให้กลิ่นและรสที่ไม่ดีเท่ากับมะม่วงสุกตามธรรมชาติ วิธีการสังเกตคือ มะม่วงที่แก่จัดนั้นผลจะอวบ ด้านล่างของมะม่วงจะไม่แหลม ส่วนมะม่วงที่เก็บมาตอนไม่แก่จัด แล้วนำมาบ่มแก๊สผิวจะเหี่ยว
7. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง ควรกินมะม่วงสุกแต่น้อย กินครั้งละไม่เกิน 1 ผล ขนาดกลาง และใน 1 สัปดาห์ไม่ควรกินเกิน 2 ครั้ง ส่วนผู้ป่วยโรคไตควรงดกินมะม่วงสุกเพราะมีปริมาณโพแทสเซียมสูง
หลายคนอาจจะคิดว่ากะทิ และข้าวเหนียว เหมือนตัววายร้าย คอยทำร้ายร่างกายของเรา กินเข้าไปแล้วก่อให้เกิดโทษแต่เพียงอย่างเดียว คงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก และดูเป็นการกล่าวหากันเกินไป อันที่จริงแล้วกะทินั้นนอกจากเป็นแหล่งของพลังงานที่ดีแล้ว ยังมีสารที่สามารถกำจัดสารอนุมูลอิสระที่จะทำลายเซลล์ต่างๆ ร่างกายเราได้อีกด้วย และมีกรดอะมิโนจำเป็นอีกหลายชนิด
กรณีของข้าวเหนียวมะม่วง กะทิเป็นตัวช่วยให้ร่างกายสามารถนำวิตามินเอที่มีอยู่ในเนื้อมะม่วงไปใช้ได้ เพราะวิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ต้องอาศัยไขมันเป็นตัวช่วยพาเข้าร่างกาย จึงนับเป็นความฉลาดของคนไทยสมัยก่อนที่จับคู่ข้าวเหนียวมูนด้วยกะทิ คู่กับมะม่วง
ส่วนข้าวเหนียวก็ไม่ได้มีแค่แป้ง เพราะถ้าเป็นข้าวเหนียวดำ ก็มีสารต้านมะเร็งชั้นเลิศอยู่เช่นกัน จะเห็นได้ว่ากะทิและข้าวเหนียวไม่ได้มีโทษต่อร่างกายอย่างเดียว หากแต่ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย
ที่มา : นิตยสารหมอชาวบ้าน

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"ช็อคโกแลต" ใครว่าไม่มีประโยชน์

ขึ้นชื่อว่า  หลายคนคงจะนึกถึงขนมหวานสีน้ำตาลที่มีหลากหลายแบบ กินแล้วรสชาติหอมหวาน เป็นขนมเพิ่มน้ำหนักอย่างดี แต่หลายคนคงยังจะไม่ทราบว่า ช็อคโกแลตนั้นก็มีประโยชน์อยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้เราจะได้รู้กันแล้วว่า ช็อคโกแลตนั้น มีดีอย่างไร?

1.ในช็อคโกแลตมีสารประกอบช็อคโกแลตที่ชื่อว่า ฟีโนลิค อยู่ปริมาณสูง เป็นสารช่วยในการลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ อีกทั้งยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องการก่อตัวของไขมันในเส้นเลือด ที่สำคัญยังช่วยชะลอความแก่ได้ด้วย
2.ช่วยลดอาการ Hangover หรือที่เรียกว่า อาการเมาค้างได้
3.ป้องกันการเกิดมะเร็ง เพราะ สารที่พบในช็อกโกแลต เป็นสารชนิดเดียวกันกับ สารที่พบใน ผัก ผลไม้ และไวน์แดง
4.ช่วยปรับอารมณ์และจิตใจ ให้เข้าสู่สภาวะปกติ เหมาะมากสำหรับสาวๆ ที่เลือดจะไปลมจะมาทั้งหลาย ฉะนั้น ช็อกโกแลตจึงถือได้ว่า เป็นขนมหวานอันดับหนึ่งสำหรับผู้หญิง ช่วยลดอาการปวดท้อง หงุดหงิด หน้าบวม ตัวบวม ก่อนมีประจำเดือน ช็อกโกแลตมีสารทริพโทฟาน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนสำคัญ ทำหน้าที่ควบคุมเซโรโทนิน สารสื่อประสาทที่ควบคุมอารมณ์ เมื่อร่างกายขับเซโรโทนินออกมาช่วยให้ผ่อนคลายความวิตกกังวลได้
5.ช่วยลดอาการอักเสบ เวลาเจ็บป่วยต่างๆ มีผลต่อสมอง เพราะช่วยให้ตื่นตัว และยังช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉงอีกด้วย สถาบันวิจัยในประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ทำการศึกษา ในชายอายุระหว่าง 65-84 ปี จำนวนเกือบ 500 คนที่อาศัยในเมือง Zutphen ประเทศเนเธอร์แลนด์ พบว่า 1 ใน 3 ของคนกลุ่มนี้ไม่ได้รับประทานโกโก้ ขณะที่ค่าเฉลี่ยมัธยฐานของกลุ่มของการรับประทานโกโก้จะอยู่ที่ 4.2 กรัมต่อวัน ในจำนวนอาสาสมัครกลุ่มนี้พบว่า ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2528-2543 มีอาสาสมัครเสียชีวิตลง 314 คน ซึ่งพบว่าคนที่รับประทานโกโก้มากที่สุด มีความเสี่ยงลดลงครึ่งหนึ่งของคนที่ไม่ได้รับประทาน
เรียบเรียงโดยนักศึกษาฝึกงาน นางสาวภัททลักษณ์ ชัยวิเศษ

5 ข้อดีการบริจาคเลือด


 1. ร่างกายแข็งแรง

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าสุขภาพโดยรวมของผู้บริจาคเลือดดีกว่าคนที่ไม่เคยบริจาคเลือด เลือดที่เสียไปจะไม่เป็นผลเสียต่อร่างกายของเราเลย ซ้ำยังทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรงตามมาอีกด้วย 

2. ผิวดี หน้าใส ออร่าเปล่งประกาย วิ้งๆ 
สาวๆ หลายคนมีความเชื่อกันแบบผิดๆ ว่า ถ้าเราไปบริจาคเลือด ต้องอ้วนขึ้นแน่ๆ เลย ตัดความเชื่อแบบผิดๆ นี้ออกไปจากสมองเราได้เลย จริงๆ แล้วการบริจาคเลือดไม่ได้ทำให้อ้วน แต่กลับทำให้ผู้บริจาคมีรูปร่างที่ดีขึ้น หุ่นเพรียวยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล และยังช่วยให้หน้าใส เปล่งประกาย วิ้งๆ แบบไม่ต้องพึ่งการฉีด หรือการกินวิตามินคอลลาเจนต่างๆ กันเลย ง่ายๆแค่บริจาคเลือดก็ทำให้มีผิวพรรณสดใสได้เหมือนกัน

3. ห่างไกลมะเร็ง
ผลการศึกษาพบว่า ผู้บริจาคเลือดมีแนวโน้มจะมีอายุยืน หรือมีโอกาสตายจากโรคต่างๆ น้อยกว่าผู้ที่ไม่บริจาคเลือด นอกจากนี้การบริจาคเลือดมีส่วนลดความเสี่ยงจากมะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งคอหอย ในผู้บริจาคเลือด

4. จิตใจดี รู้สึกดี
การบริจาคเลือด จะให้ความรู้สึกดี ความรู้สึกว่าเป็นผู้ให้ ได้ทำทาน ได้ช่วยชีวิตคน ทำให้เรารู้สึกสุขใจเพราะได้ช่วยชีวิตผู้อื่นด้วย เรียกได้ว่าเป็นการทำบุญอีกอย่างหนึ่ง เป็นการต่อชีวิตที่ส่งผลให้ใครหลายๆ คน มีชีวิตรอดปลอดภัย
 
5.  มีสิทธิพิเศษสำหรับผู้บริจาคเลือด
ปัจจุบันสิทธิพิเศษในการรักษาพยาบาล เป็นดังนี้
สำหรับผู้บริจาคโลหิตตั้งแต่ 
24 ครั้งขึ้นไป ในโรงพยาบาลสังกัดสภากาชาดไทย ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ให้ความช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยสามัญ ถ้าอยู่ห้องพิเศษ ผ่าตัดคลอดบุตรให้เสียกึ่งหนึ่งของอัตราที่กำหนด

สำหรับผู้บริจาคโลหิตตั้งแต่
18 ครั้งขึ้นไป อาศัยอำนาจจากกระทรวงสาธารณสุข ตามความในประเภท ข. ที่มีหนังสือรับรองจากสภากาชาดไทยว่าได้บริจาคโลหิตตั้งแต่ 18 ครั้งขึ้นไป ได้รับการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล และถ้าอยู่ห้องพิเศษ ได้รับความช่วยเหลือค่าห้องและค่าอาหารเพียงร้อยละ 50 ของอัตราที่กำหนดไว้

สำหรับผู้บริจาคโลหิตตั้งแต่
7 ครั้งขึ้นไป อาศัยอำนาจจากกระทรวงสาธารณสุข ตามความในประเภท ค. ที่มีหนังสือรับรองจากสภากาชาดไทยว่าได้บริจาคโลหิตตั้งแต่ 7 ครั้งขึ้นไป ได้รับการช่วยเหลือเฉพาะค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษไม่เกินสิทธิอันพึงเบิกได้จากหน่วยงานต้นสังกัดก่อน ส่วนที่เกินสิทธิให้เรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 สำหรับผู้ไม่มีสิทธิ ได้รับความช่วยเหลือเพียงร้อยละ 50 ของอัตราที่กำหนดไว้
ส่วนการบริการตรวจสารเคมีในโลหิตนั้น ยังใช้ได้เหมือนเดิม แต่ยังคงเหลือการตรวจเพียง 7 ชนิด สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2263 9600 ต่อ 1813
 
ขอบคุณข้อมูล : สภากาชาดไทย

7 วิธีคุมกำเนินที่ทุกคนควรรู้

ึ7 วิธีคุมกำเนินที่ทุกคน
1.กินยาคุม  
       ฮอตฮิตมาก มีหลากหลายยี่ห้อ ยาคุมกำเนิด เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่นิยมกันมากที่สุด และให้ผลดี ซึ่งผลของยาคือ ทำให้ไข่ไม่ตก แต่ก็เป็นหน้าที่ของคุณผู้หญิงที่ต้องไม่ลืมรับประทานยา เพราะถ้าลืมบ่อยๆ ก็อาจจะผิดพลาดเกิดการตกไข่ขึ้นมาได้ และการรับประทานยาคุมกำเนิดนี้ บางคนอาจจะมีอาการแพ้ หรือมีประจำเดือนผิดปกติ จึงต้องสังเกตตัวเองให้ดี
       นับเป็นวิธีดั้งเดิมที่ลูกผู้หญิงนิยมและจำเป็นต้องทำ หากผู้ชายเป็นฝ่ายเอาเปรียบไม่คำนึงถึงผลเสียในการไม่สวมถุงยางอนามัย ผู้หญิงเราจะทำอะไรได้ดีไปกว่าการรับประทานยาคุมกำเนิดเล่า วิธีนี้นอกจากจะได้ผลดีแล้ว ยังทำให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ รักษาสิวได้ ที่สำคัญ บทเซ็กซ์ของคุณจะอิสระเสรีดังใจฝัน ปราศจากสิ่งพันธนาการมากั้นขวาง
       ยาเม็ดคุมกำเนิดประกอบด้วยฮอร์โมน 2 ชนิดคือ เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน(Progesterone) คุณสมบัติของมันนั้นดีเหลือเชื่อ เพราะจะยับยั้งการตกไข่และป้องกันไม่ให้มีไข่สุข อีกทั้งจะสกัดกั้นไม่ให้อสุจิเข้าสู่มดลูก และขัดขวางการฝังตัวของไข่ที่ผสมเสร็จแล้วด้วย เพราะฉะนั้น หากทำตามวิธีอย่างเคร่งครัดตามประเภท และชนิดของยาที่มีหลากหลาย วิธีนี้ได้ผลค่อนข้างชัวร์เช่นกัน 
 
2.ยาคุมฉุกเฉิน     
       ถ้าคุมแล้วพลาด..หรือไม่ทันได้ป้องกัน อย่าช้า!!! ใช้แผนสองด่วน ไม่ว่าเซ็กซ์ครั้งล่าสุดของคุณจะซาบซ่านถึงใจ จนถุงยางอนามัยเลื่อนหลุด ไม่มั่นใจว่าอาจจะแตก จะรั่ว หรือเพิ่งผ่านสถานการณ์ที่คุณไม่คาดคิดว่าจะเกิด จึงไม่ได้ป้องกัน พอหันกลับไปดูปฎิทินยังเป็นช่วงวันอันตรายอีกด้วย เอาเวลาที่ต้องนั่งกลุ้มไปซื้อยาคุมฉุกเฉินมากินโดยด่วน 
       ยาคุมฉุกเฉิน ควรใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น เป็นยาที่ใช้หลังจากมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเซ็กซ์ครั้งนั้นคุณอาจจะไม่ได้ตั้งใจหรือไม่เต็มใจ จึงเรียกว่า Emergency Pills หรือ Morning after pills มีขายที่ร้านขายยาในชื่อ "โพสตินอร์" ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 85% (ย้ำว่า 85%นะคะ ฉะนั้นถุงยางอนามัยอย่าลืมใช้)
       วิธีกิน ยา 1 กล่อง จะมีเม็ดยา 2 เม็ด เม็ดที่ 1 กินภายใน 2 ชั่วโมง หลังจากมีเซ็กซ์ เม็ดที่ 2 กินหลังจากกินเม็ดแรกไปแล้ว 12 ชั่วโมง เมื่อกินแล้วอาจจะเกิดอาการคลื่นไส้ เวียนหัว ถ้ากินยาเม็ดแรกเข้าไปแล้วอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมง ต้องกินซ้ำเพราะตัวยายังไม่ได้ถูกดูดซึม และเมื่อถึงกำหนดมีรอบเดือนอาจจะมีเลือดออกมากะปริดกะปรอย หรือล่าช้าออกไปได้ เพราะตัวยาเป็นฮอร์โมนเพศในปริมาณสูงที่ไปรบกวนระบบรอบเดือนปกติได้
       
3.ฉีดยาคุมกำเนิด    
       เหมาะมากกับคุณผู้หญิงที่ชอบขี้ลืมกินยา เพราะยาคุมมีผลในการคุมกำเนิดเพียงแค่ 1 วัน ส่วนหากใช้วิธีฉีดยาคุมนั้นส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์คุมกำเนิดได้ 3 เดือน ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดียวกับชนิดยากิน แต่มีข้อเสียคือ บางคนอาจจะรอบเดือนไม่มา หรือมากะปริบกะปรอย ซึ่งอาจจะสร้างความอึดอัด หรือรำคาญให้กับคุณสาวๆ บางนางได้ และบางรายอาจจะมีอาการแพ้ยาฉีด น่ากลัวชะมัด!      
       เป็นวิธีที่ถ้าไม่นับความสะดวกสบายแล้ว ข้อเสียเยอะมาก ทั้งทำให้ความต้องการทางเพศลดลง น้ำหนักเพิ่ม เกิดสิว ขนดกขึ้น เพราะเป็นยาคุมกำเนิดที่มีแต่โปรเจสเตอโรน เท่านั้น
       เฮ้อ… เกิดเป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก ส่วนผู้ชายมันก็มีหน้าที่ตั้งหน้าตั้งตาเล่นท่าเสกเด็กใส่ท้องลูกเดียว!
 
4.ใส่ถุงยางอนามัย 
       ถุงยางอนามัยสำหรับหญิง มีลักษณะเป็นถุงโปร่งแสง ทรงกระบอก ปลายมนทำด้วยโพลียูรีเธน ปลายเปิดของถุงยางมีขอบลักษณะคล้ายห่วงติดอยู่เรียกว่า ขอบนอก มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร  
       ภายในก้นถุงซึ่งเป็นปลายตันจะมีห่วงอีกอันหนึ่งวางอยู่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 เซนติเมตร เรียกว่า ขอบใน ซึ่งสามารถถอดออกได้ ขอบในจะใช้สอดถุงยางเข้าไปในช่องคลอด โดยบีบขอบในแล้วสอดเข้าไปจนสุดซึ่งจะเข้าไปครอบบนปากมดลูก และห่วงนี้จะยึดถุงยางไว้ไม่ให้หลุดออกมาในขณะที่ห่วงนอกที่เป็นขอบถุงยางจะช่วยให้ถุงยางแผ่ติดตรงบริเวณปากช่องคลอด
       ข้อดี ผู้หญิงสามารถป้องกันตนเองได้ สามารถสอดใส่ไว้ก่อนร่วมเพศได้ ขนาดของถุงมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างพอไม่ทำให้ฝ่ายชายอึดอัด มีความเหนียวและทนทานดี หลังการร่วมเพศแล้วฝ่ายชายไม่จำเป็นต้องรีบถอนอวัยวะเพศออกเพื่อถอดถุงยางอนามัยทันที ยังคงสามารถสัมผัสใกล้ชิดกันได้นานๆ
       ส่วนข้อเสีย การสอดใส่ถุงยางเข้าไปในช่องคลอดหญิงอายุน้อยบางคนยังรับไม่ได้ หรือมีห่วงอยู่ที่ขอบถุงยางซึ่งโผล่อกมานอกปากช่องคลอด ทำให้คู่นอนเสียความรู้สึกทางเพศ มีรูปร่างเทอะทะไม่น่าใช้ ผู้ใช้บางรายอาจมีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ นอกจากนี้แล้วราคายังแพงกว่าถุงยางอนามัยชาย ถุงยางอนามัยชายจึงได้รับความนิยมมากกว่า 

5.ใส่ห่วงอนามัย
       มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตัว T ต้องใส่โดยสูตินรีแพทย์ที่ชำนาญเท่านั้น โดยจะป้องกันการฝังตัวของตัวอ่อน แต่สามารถหลุดเองได้ แถมทะลุเข้าช่องท้องได้อีกต่างหาก อ้อ! การคุมกำเนิดชนิดนี้ ก็เป็นการคุมกำเนิดราคาถูกระยะยาวที่ได้ผล
       หากเป็นห่วงทองแดงสามารถอยู่ได้ถึง 10 ปี แต่ถ้าเป็นชนิดโปรเจสเตอโรนจะต้องเปลี่ยนทุกปี มีผลข้างเคียงน้อยมากเมื่อเทียบกับวิธีอื่น
       ห่วงอนามัย เป็นการใส่เครื่องมือในโพรงมดลูก เหมาะกับผู้หญิงที่เคยมีลูกแล้ว และมีอาการแพ้ยาคุมชนิดกินหรือฉีด ห่วงอนามัยจะมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่มีตัวยา และไม่มีตัวยาใดๆ การใส่ห่วงต้องให้คุณหมอเป็นผู้ใส่ให้ อยากมีลูกตอนไหน ก็ให้คุณหมอถอดออกให้ และโดยปกติจะใส่ครั้งละ 3 ปี
       
6.นับวัน  
       เรามักจะได้ยินกันว่า ระยะปลอดภัยจากการตั้งครรภ์คือ “หน้า 7 หลัง 7” จากวันที่มีประจำเดือน ซึ่งหมายถึง การกะประมาณระยะเวลาที่ไข่ไม่ตก ดังนั้นจึงปฏิบัติภารกิจโป้งชึ่งกันได้ แต่ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป    
       การคุมกำเนิดวิธีนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีประจำเดือนคลาดเคลื่อน ฉะนั้นถ้าไม่แน่ใจ และไม่อยากพลาด ไม่ควรใช้วิธีนี้
 
7.หลั่งข้างนอก  
       วิธีการหลั่งภายนอกช่องคลอด (Coitus interruptus) คือ การดึงอวัยวะเพศของผู้ชายออกจากช่องคลอดก่อนที่จะมีการหลั่ง จะป้องกันการตั้งครรภ์ได้เพียง 81-96% เท่านั้น และถึงแม้จะยังไม่มีการหลั่งเกิดขึ้น แต่ระหว่างที่แข็งตัว อวัยวะเพศชายจะผลิตของเหลว ซึ่งประกอบไปด้วยเชื้ออสุจิมากมาย และสามารถทำให้ตั้งท้องได้เช่นเดียวกัน  
       ที่สำคัญคือ มีผู้ชายจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ไม่สามารถบอกได้ว่า เมื่อไหร่ตัวเองจะเกิดการหลั่ง ดังนั้นวิธีนี้อาจจะเสี่ยงเกินไปสำหรับผู้ชายที่วิทยายุทธยังไม่แกร่งกล้า ผ่านศึกไม่โชกโชนมากนัก
       วิธีนี้ต้องอาศัยวิทยายุทธ์บู้ลิ้มของฝ่ายชายเท่านั้น ว่าสามารถหลั่งข้างนอกโพรงมดลูกได้ทันหรือไม่ แต่ระวังให้ดี เพราะเจ้าอสุจินับล้านจะวิ่งแข่งกันเข้าไปชนกับรังไข่แบบไม่รู้ตัว วิธีนี้ไม่ชัวร์นัก โอกาสล้มเหลวสูง งั้นไม่ควรให้คุณแฟนลอง มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะยะ
 
ขอบคุณที่มา
http://www.manager.co.th

นั่งผิดท่า = ตายผ่อนส่ง

สำหรับคนทำงานออฟฟิศทั้งหลาย อาการปวดเมื่อยเพราะการนั่งทำงานนานๆนั้น น่าจะเกิดขึ้นเป็นประจำกับทุกๆคนอยู่แล้ว แต่รู้ไหมครับว่าบางที การนั่งผิดท่าจากการทำงานนั้น สามารถก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆที่อันตรายต่างๆมากมาย จะมีโรคอะไรบ้างนั้น ลองไปดูกันครับ


 
 
โรคหัวใจ - การนั่งนานๆทำให้อัตราการเผาผลาญไขมันต่ำ จนไขมันไปเกาะหลอดเลือดและเกิดเส้นเลือดหัวใจอุดตันรวมถึงความดันสูงได้ โดยคนที่ต้องนั่งทำงานนานๆมีอัตราเสี่ยงจะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจสูงกว่าคนที่นั่งไม่นานมากถึงมากกว่า 2 เท่าเลยทีเดียว
 
โรคเบาหวาน - ตับอ่อนผลิตอินซูลินที่เอาไว้ขนกลูโคสไปให้เซลล์ แต่เซลล์กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ขยับจะไม่ตอบรับกับอินซูลินแต่อย่างใด ตับอ่อนจึงสร้างอินซูลินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเรื่อยๆและเรื่อยๆ จนอาจจะทำให้เกิดโรคเบาหวานและโรคอื่นๆจากตับอ่อนได้ โดยจากการศึกษาในปี 2011 พบว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวเห็นผลได้จากการนั่งทำงานนานๆแค่เพียงวันเดียว
 
มะเร็งลำไส้ใหญ่ - เหตุผลยังไม่ชัดเจนนัก แต่จากการศึกษาพบว่าการนั่งทำงานนานๆมีอัตราเสี่ยงให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกได้ อาจจะเกิดจากอินซูลินในหัวข้อด้านบน หรืออาจจะเกิดจากการที่การขยับตัวตามธรรมชาติจะสร้างสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ทำให้ลดอัตราการเกิดมะเร็งลง
 
สมองทำงานช้าลง - การขยับร่างกายทำให้เลือดไหลเวียนผ่านสมองมากขึ้นและทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้น คนที่นั่งทำงานนานๆจะทำให้สมองตื้อและทำงานได้ช้าลง
 
การดูกสันหลังส่วนคอตึง - การขยับหัวไปมาระหว่างนั่งทำงาน จะทำให้เกิดอาการกระดูกคอตึง และถ้าทำต่อเนื่องนานๆอาจทำให้กระดูกคอมีปัญหาถาวรเลย (นี่คือส่วนที่เราเกิดปัญหาจนต้อง MRI ปีที่แล้วนั่นเอง)
 
ปวดหลังและไหล่ - อาการคลาสสิคของคนรอบกาย(และตัวเอง)เลย จากในภาพ กล้ามเนื้อส่วน Trapezius เป็นกล้ามเนื้อที่เชื่อมต่อระหว่างคอบ่าไหล่สะบัก
 
เมื่อการทำงานขอคอผิดเพี้ยนจากธรรมชาติ มันก็จะดึงรั้งให้บ่าไหล่หลังและสะบัก ผิดเพี้ยนไปด้วยเป็น Chain Effect ทำให้เป็นบริเวณที่คนทำงานออฟฟิศจะแข็งและปวดมาก บางคนเป็นหนักขนาดที่หมอนวดไม่นวดให้และไล่ให้ไปกายภาพบำบัดเลย
 
อันนี้ก็เจอกับตัวเองเหมือนกัน ค่อนข้างหนักเสียด้วย บางทีก็ถึงขั้นหายใจไม่ออกจากการปวดกล้ามเนื้อบริเวณนี้ ตอนเด็กๆไม่เข้าใจหรอกที่คนเตือนๆ แต่ตอนโตมา รู้ตัวอีกทีก็สายไปละ ...
 
กระดูกสันหลังยืดหยุ่นไม่ได้ หลังขดหลังแข็ง - กระดูกสันหลังที่ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน จะขาดความยืดหยุ่นและส่งผลให้เจ็บจากการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลังได้ เช่นการก้มลงไปผูกเชือกรองเท้า ทั้งนี้เพราะเวลาเราขยับตัว Disk ที่อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฟองน้ำ (หรือที่ทุกคนคงชินหูกับคำว่า หมอนรองกระดูก) จะขยายตัวและสูบฉีดเลือดเข้าไปเพื่อรักษาความยืดหยุ่น
 
แต่พอไม่ขยับนานๆ จะทำให้ Disk เหล่านี้เสียความยืดหยุ่นไป และทำให้เวลามีการบิดหรือคดของกระดูกสันหลัง จะทำให้เจ็บปวดรวดร้าวและทรมานได้
 
หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท - คำนี้ได้ยินบ้อยยยบ่อยอีกเช่นกัน เกิดจากการที่ Disk เคลื่อนไปกดทับเส้นประสาทตามแนวกระดูกสันหลัง ส่งผลให้เกิดการเจ็บปวดอย่างรุนแรงหรือชา แล้วแต่ว่าไปทับเส้นประสาทตรงไหน
 
และการนั่งทำงานผิดท่าติดต่อกันเป็นเวลานานๆก็สามารถทำให้ Disk นี้เสียหายจนไปทับเส้นประสาทจนเกิดเป็นอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทนี้ได้ จึงเป็นอีกอาการคลาสสิคของ Office Symdrome
 
กระดูกสันหลังคด - เวลาเรายืน กล้ามเนื้อหน้าท้องจะช่วยให้เราตัวตรง แต่พอเรานั่ง กล้ามเนื้อหน้าท้องจะไม่ถูกใช้งาน ส่งผลให้กระดูกสันหลังรับกรรมไปเต็มๆ คนที่นั่งทำงานส่วนใหญ่จึงหลังงอและเมื่อทำต่อเนื่องกันไปนานๆก็จะเกิดกระดูกสันหลังคดไปในที่สุด
 
กล้ามเนื้อต้นขาตึง - กล้ามเนื้อสะโพกต้นขา(หรือที่เรียกว่า Hip Flexor ในรูปด้านบน)จะช่วยในการทรงตัว แต่เมื่อนั่งทำงานต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้กล้ามเนื้อต้นขามัดนี้สั้นลงและตึงขึ้นเรื่อยๆ และจะทำให้การขยับเคลื่อนขาทำได้ยากขึ้น ผลการศึกษาเผยว่าการที่กล้ามเนื้อสะโพกเคลื่อนไหวลำบากนี้เองที่ส่งผลให้คนแก่ล้มบ่อยๆ
 
กล้ามเนื้อแก้มก้นอ่อนแรง - การนั่งทำให้กล้ามเนื้อแก้มก้นไม่ต้องทำงาน จนมันคุ้นชินกับสภาพนั้น ฟังดูไม่มีอะไร แต่ความจริงแล้วมันจะส่งผลต่อการเดินและออกตัวด้วย
 
เส้นเลือดขอด - เมื่อนั่งทำงานนานๆ เลือดก็จะไม่ไหลเวียนลงในที่ขา ทำให้เลือดจับตัวเป็นลิ่มและเกิดเป็นเส้นเลือดขอดที่ขาในที่สุด
 
กระดูกพรุน - การเดินและออกกำลังกาย จะทำให้กระดูกส่วนล่างหนาขึ้น แข็งแรงขึ้น แต่การนั่งนานๆจะทำให้กระดูกเสื่อมลงจนเกิดกระดูกพรุนได้
 
และจากการศึกษาเป็นเวลา 8.5 ปี พบว่าคนที่นั่งดูทีวีวันละ 7 ชั่วโมงขึ้นไป มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากกว่าคนที่นั่งดูวันละน้อยกว่า 1 ชั่วโมงถึง 61%
รู้ดังนี้แล้ว กันไว้ดีกว่าแก้นะจ๊ะ เพราะร่างกายไม่มีอะไหล่ (หรือจะบอกว่ามีเป็นบางส่วนก็ได้ พี่เล่นใช้ 3D Printer พิมพ์อวัยวะเทียมกันละ) วิธีรับมือคือ
 
1) นั่งให้ถูกท่า - นั่งให้หลังตรง ห้ามชะเง้อคอ ตั้งแขนให้ตรง 90 องศา ทำไหล่ให้สบาย หากทำไม่ได้ ให้หาตัวช่วยอย่างเก้าอี้ Ergonomic แพงแต่ชีวิตดี เชื่อเดี๊ยน
 
2) นั่งบนอะไรนิ่มๆ - การนั่งบนอะไรนิ่มๆเช่น Exercise Ball จะบังคับให้กล้ามเนื้อส่วนที่ไม่ทำงานตอนนั่งบนเก้าอี้ธรรมดาทำงาน
 
3) ยืดกล้ามเนื้อต้นขาทุกวัน - ยืดวันละ 3 นาที ชีวีจะมีสุข 
 
4) เดินเรื่อยๆ - ตามบทความเค้าบอกให้ลุกขึ้นยืนทุกครั้งที่มีโฆษณา ส่วนการทำงานก็คือลุกเดินทุก 30 นาที อย่าขี้เกียจ (แต่ของเนยที่ทำอยู่ทุกวันนี้คือทุก 15 นาที)
 
5) โพสโยคะท่าวัวและท่าแมว - จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกระดูกสันหลัง 

ยังไงก็ขอให้มนุษย์ออฟฟิศทั้งหลาย ดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ อย่างน้อยๆ ก็หาเวลาออกกำลังกายกันบ้างนะครับ

ที่มา 
http://nuuneoi.com/

อย่ามองเซ็กส์เป็นแค่เรื่องใต้สะดือ

อย่ามองเซ็กส์เป็นแค่เรื่องใต้สะดือ
อย่ามองเซ็กส์เป็นแค่เรื่
นักวิจัยค้นพบว่า การมีเซ็กส์มีผลต่อสุขภาพของคุณด้วย  แต่จะมีเซ็กส์สักกี่ครั้งดีล่ะ

เดือนละครั้ง :
สามารถลดอันตรายจากการเป็นมะเร็งเต้านมได้ โดยนักวิจัยเข้าใจว่า เซ็กส์ช่วยทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนโดยตรง ดร.ชวาร์ทซ์ บอกว่า จากการศึกษาหลายต่อหลายครั้งบอกให้รู้ว่าโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นมานั้น มีส่วนสัมพันธ์กับการลดลงของอันตรายจากมะเร็งเต้านม และยังมีอีกหลายกรณีที่บ่งบอกว่า ยิ่งมีเซ็กส์บ่อยขึ้น อันตรายจากการเป็นมะเร็งเต้านมก็ยิ่งลดน้อยลง


สัปดาห์ละครั้ง :
ไม่เป็นหวัด ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ เพราะจาการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยวิลด์ ในเพนซิลวาเนีย ระบุว่า ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ 1-2 ครั้ง ต่อสัปดาห์ จะมีระดับสารต้านทานโรคในร่างกายที่มากกว่าผู้ที่ไม่มีเพศสัมพันธ์เลย อีกทฤษฎีหนึ่งบอกว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะการมีเซ็กส์บ่อยจะเปิดช่องโหว่ให้กับพวกแบคทีเรีย ฃจุลินทรีย์ทั้งหลาย ร่างกายของเราจึงต้องรีบสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ข้อสำคัญ การมีเซ็กส์บ่อยครั้งนี้ ไม่ได้ช่วยให้ภูมิคุ้มกันมีมากขึ้นไปอีก ผู้ที่มีกิจกรรมทางเพศสัปดาห์ละ 3 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ระดับสารต้านทานโรคกลับต่ำลง จึงทำให้รับเชื้อไวรัสต่าง ๆ เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ ได้ง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ประจำเดือนจะมาสม่ำเสมอกว่าผู้ที่ไม่ค่อยได้มีเซ็กส์เลย


สัปดาห์ละ 3 ครั้ง :
ทำให้ดูอ่อนวัยกว่าอายุจริง โดยในการศึกษาวิจัยครั้งหนึ่ง อาศัยชาย-หญิงชาวยุโรปและอเมริกันกว่า 3,500 คน เป็นกลุ่มเป้าหมาย นักวิทยาศาสตร์ได้สอบถามอาสาสมัครในหลายประเด็น รวมทั้งจำนวนครั้งของการมีเพศสัมพันธ์กัน ผลคือ ผู้ที่ยอมรับว่ามีเพศสัมพันธ์มากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะดูอ่อนวัยกว่าอายุจริง 7-12 ปี  คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะ เดือนละครั้ง สัปดาห์ละครั้ง หรือสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ตามสะดวกเน้อ 
 
ขอบคุณที่มาโดย : Papabear
http://www.khanpak.com