Translate

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ใครจะเชื่อ..เกลือ คือยาชั้นเลิศ!!

ใครจะเชื่อ..เกลือ คือยาชั้นเลิศ!!

เชื่อมั้ยคะ..ว่าเรามียาดีประจำบ้านกันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราคาดไม่ถึง และมองไม่ออกเท่านั้นเอง
แหม..พูดมาซะขนาดนี้ หลายคนคงอยากจะรู้กันแล้วใช่มั้ยคะ!!.
ในขณะที่บางคนก็อาจจะรู้มาบ้างแล้ว..แต่ไม่เป็นไรคะ เพราะวันนี้ เราตั้งใจจะนำมาเผยแพร่เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยนี้ ให้ผู้อ่านได้นำไปปฎิบัติในยามที่ป่วยไข้เบื้องต้น..

            สิ่งวิเศษที่เป็นยาชั้นเลิศ อยู่คู่บ้านใกล้ตัวคุณ ก็คือ .." เกลือ " ชนิดที่เค็มๆ
หาได้ตามห้องครัวบ้านเรานี่แหละคะ สำหรับอาการต่างๆ ที่ใช้เกลือช่วยบรรเทาได้ มีดังนี้


            ไอเพราะเป็นหวัด แค่เอาน้ำเปล่า 1 ถ้วย มาเหยาะเกลือลงไป 1 ช้อนชา คนเบาๆ จนกว่าเกลือจะละลาย แล้วใช้บ้วนปากกลั้วคอหลา ยๆ ครั้ง ความเค็มจะเข้าไปละลายเสมหะในลำคอ ทีนี้ก็ไม่ต้องไอให้คนข้างๆ รำคาญแล้ว


            มึนหัว สมองไม่แล่น สาวทำงานที่เจอแบบนี้อย่ารอช้า รีบรองน้ำอุ่นให้เต็มถัง หยอดเกลือลงไป 2-3 ช้อนชา แล้วเอามาอาบ รับรองว่าสมองจะโล่งคิดงานได้ปรู๊ดปร๊าด เพราะเกลือช่วยกระตุ้นให้เลือดลงไหลเวียนดี มีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอง


             เร่งให้อาเจียน ถ้าบังเอิญกินสารพิษเข้าไป หรืออึดอัดอาหารไม่ย่อย จนต้องทำให้อาเจียนออกมา ให้ดื่มน้ำเกลือเข้มข้นแก้วใหญ่ๆ ไม่นานจะได้อาเจียนสมใจ


             คัดจมูก จะแค่คัดจมูกน้ำมูกไหล หรือลุกลามจนกลายเป็นโรคจมูกอักเสบก็ตาม ให้ใช้น้ำเกลือเจือจางหยอดเข้าไปในรูจมูกทั้งสองข้าง เกลือจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในโพรงจมูก จะได้หยุดซี้ดซ้าดปาดน้ำมูกได้เสียที


             คันตามผิวหนัง ทาบริเวณที่คันด้วยน้ำเกลือ เชื้อราบริเวณนั้นจะสิ้นฤทธิ์


             โรคตาแดง โรคนี้มีเชื้อโรคเป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง แต่สามารถปฐมพยายาบาลตัวเองก่อนถึงมือหมอได้ง่ายๆ ด้วยการเอาผ้าขนหนูสะอาดๆ (ถ้าต้มฆ่าเชื้อโรคก่อนได้ยิ่งดี) จุ่มน้ำเกลือแล้วเอามาเช็ดตา อาจจะแสบบ้างแต่นั่นล่ะคือยาดี หลังจากที่เกลือเข้าไปฆ่าเชื้อโรคในตาแล้ว ก็ล้างตาหลายๆ ครั้งด้วยน้ำสะอาด อาการบวมแดงมีขี้ตาของคุณจะทุเลาลง

             แผลยุงกัด ถ้าใครถูกเจ้ายุงตัวร้ายมาขอบริจาคเลือดไป แถมยังทิ้งรอยแผลไว้เป็นที่ระลึก อย่ามัวแต่เกาให้เสียลุคส์สาวงาม รีบๆ ใช้น้ำเกลือทาที่รอยแผล ไม่นานความคันจะหายไป และรอยบวมก็จะยุบเร็วด้วย

           เคล็ดลับดีๆแบบนี้..รู้แล้วต้องบอกต่อนะ เป็นวิธีการง่าย

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กินทุเรียนแบบไหน ไม่ให้กวนเพื่อน!

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เข้าหน้า "" แล้ว! ทุเรียนที่เป็นผลไม้ยอดฮิตตลอดกาล ติดอันดับผลไม้ราคาแพง มี "กลิ่น" เป็นเอกลักษณ์ แกะยาก และกินยาก

และด้วยความที่ทุเรียนมีทั้ง "รูปลักษณ์" และ "กลิ่น" ที่มีเอกลักษณ์มากขนาดนี้ จึงมีทั้ง "คนรัก" และ "คนชัง"
คนรักทุเรียนบ้างก็ว่า กลิ่นหอมสะดุดจมูก ได้กลิ่นตลาดไหนต้องแวะซื้อ คนชังบ้างกว่า กลิ่นมันเหม็น เวียนหัว ชวนอาเจียน จะกินเข้าไปได้ยังไง ที่สำคัญในครอบครัวเดียว มักมีทั้งคนรักและชังทุเรียน
คนรักทุเรียนต่างบอกว่า กินทุเรียนไม่ใช่เรื่องง่าย โดนห้ามเยอะ โรงแรมแถวระยองแทบทุกโรงแรมติดป้าย "ห้ามนำทุเรียนเข้า" แถมบางที่ไปไกลถึงขนาดปรับเงินถ้าฝ่าฝืน ส่วนเพื่อนชาวต่างชาติ แชร์ไอเดียว่า "ไอไม่เข้าใจ ยูกินอะไร ทั้งสีและกลิ่นเหมือน...มากๆ อย่ากินใกล้ๆ ได้มั้ย ไอไม่ชอบเลย"
"ประชาชาติธุรกิจออนไลน์" เก็บเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากคนใกล้ตัว และตามท้องถนน! ว่าด้วย วิธีการกินทุเรียนให้ไม่รบกวนคนรอบข้าง หรือพูดอีกอย่างได้ว่า เราต้องไม่เคืองกัน เพราะทุเรียน!
เพื่อนในออฟฟิศใช้วิธีนี้มาแล้ว เริ่มจากจับกลุ่ม "คนรักทุเรียน" 2-3 คน (ห้ามตั้งกลุ่มใหญ่ เดี๋ยวกลิ่นกระจาย) ชวนกันไปซื้อทุเรียน แล้วพากันหาที่นั่งกินคุยกันเพลินๆ แนะนำว่า ต้องเป็นนอกตึกออฟฟิศ และไม่ควรไปกินในร้านอาหารหรือร้านกาแฟติดแอร์ ไปๆ มาๆ กลุ่มคนรักทุเรียนที่ออฟฟิศ ได้ม้านั่งใต้ร่มไม้หน้าออฟฟิศ ได้คุยกันไปกินกันไป ไม่รบกวนใครที่ไม่รักทุเรียน กินแล้วฟิน ก็แยกย้ายไปทำงาน เจอกันใหม่เมื่อใครไปเจอพลูสวยๆ ราคาดีๆ
ส่วนวิธีกินทุเรียนในบ้านหรือคอนโดฯ ก็ไม่ค่อยต่างกันนัก ส่วนใหญ่กินที่ชานหน้าบ้าน ระเบียงบ้าน/คอนโดฯ ดีที่สุด (ลมเย็นด้วย) กินเสร็จ ก็ค่อยเข้าบ้าน
อีกเรื่องที่เป็นปัญหาคือ ซื้อทุเรียนกลับบ้าน คนใกล้ตัวเล่าว่า สัปดาห์ก่อนต้องขนทุเรียน 3 ลูก (ยังไม่ปลอกเปลือกหรือแกะพลู) กลับบ้านต่างจังหวัด ผลที่ตามมาคือ กลิ่นทุเรียน 3 ลูกในกระโปรงรถทะลุทะลวงเข้ามาในห้องโดยสาร และที่นั่งกันอยู่ในรถทั้ง 4 คน เวียนหัวจนชวนอาเจียนกันยกใหญ่ แต่ไม่มีทางออกใด นอกจากต้องทน! เพื่อทุเรียนอันโอชะของคนใจรัก
ดูเหมือนว่า จะขนทุเรียนไปไหนมาไหน มีทางออกอยู่ 2 ทาง
หนึ่ง เลือกรถปิกอัพขนทุเรียน
แต่เข้าใจว่าไม่ใช่คนรักทุเรียนทุกคนจะมีปิกอัพขับ จึงมีวิธีที่สอง
วิธีนี้เพิ่งพบเห็นจากโลกโซเชียลมีเดีย ง่ายจนคาดไม่ถึงว่า แค่เอาทุเรียนที่แกะแล้วใส่ถุงหนาแน่น แล้วผูกไว้ที่จับประตูรถ! ผูกแน่นๆ อย่าให้หล่น ถ้ามีหลายพลูหลายถุง ก็ผูกมัน 4 ที่จับประตูไปเลย แต่มีข้อระมัดระวังว่า ต้องไม่ขับขี่เฉี่ยวชนใครเท่านั้น! เดี๋ยวทุเรียนช้ำ วิธีนี้ไม่รบกวนเพื่อนร่วมโดยสาร และไม่ต้องคอยขจัดกลิ่นให้ยากหลังพาทุเรียนกลับบ้านแล้ว
หาวิธีกันไป ยังไงเสีย เราต้องไม่เคืองกันเพราะทุเรียน! ใครใคร่อยากกินอะไรต้องได้กิน

5 เหตุผลดีๆที่คุณควรกินให้ช้าลง

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ จึงทำให้ส่งผลกับการที่คนเราปัจจุบันนี้ต้องรีบๆกินรีบๆเคี้ยวอย่างรวดเร็วจนเป็นเรื่องปกติ ทำให้ส่งผลกับสุขภาพในระยะยาว
คุณสามรถเปลี่ยนรูปแบบการกินของคุณได้ไม่ยาก เพียงแค่เคี้ยวให้ช้าลง กัดคำเล็กลง เพลิดเพลียนไปกับอาหารในแต่ละมื้อ แค่คุณเสียเวลาเพิ่มขึ้นไม่กี่นาที ก็เพิ่มความสุขและสุขภาพดีให้กับคุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ

5 เหตุผลดีๆที่คุณควรกินให้ช้าลง ในหนังสือ "ทำน้อยให้ได้มาก"
1 . ลดน้ำหนัก ผลวิจัยจากหลายสำนักยืนยันว่า การกินให้ช้าลง เคี้ยวให้ช้าลง คุณก็จะสามารถลดจำนวนแคลอรี่ได้และน้ำหนักคุณก็จะลดลงโดยที่คุณก็ใช้ชีวิตเหมือนปกติไม่ต่างไปจากเดิม เพราะถ้าเรากินเร็ว เราก็จะกินไปเรื่อยๆจนเกินพอดี เหตุผลนี้มาจากผลการวิจัยที่ว่าสมองของเรานั้นใช้เวลาประมาณ20นาทีกว่าจะรับรู้ว่าเราอิ่มนั่นเอง
2 . ได้เพลิดเพลินกับอาหาร ถ้าคุณกินเร็วเกินไป คุณจะไม่ได้ลิ้มรสความอร่อยของอาหารอย่างเต็มที่ การกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้สุขภาพย่ำแย่ ถ้าเรากินพิซซ่าที่เป็นของโปรดของใครหลายๆคน และเป็นอาหารที่ค่อนข้างจะไร้ประโยชน์ เราค่อยๆกินค่อยลิ้มรสว่าพิซซ่ามีรสชาติเป็นอย่างไร เราก็จะกินพิซซ่าน้อยลงอาหรที่เข้าสู่กระเพาะของเราก็น้อยลงเช่นกัน
3 . ดีต่อระบบย่อยอาหาร เพราะยิ่งเคี้ยวอาหารนานมากเท่าไหร่ อาหารก็จะถูกบดให้ละเอียดมากขึ้นๆ การทำงานของระบบย่อยอาหารภายในร่างกายก็จะทำงานน้อยลง จะช่วยลดปัญหาด้านระบบย่อยอาหารของเราได้ดีอีกด้วย
4 . ลดความตึงเครียด เพราะการที่เราตั้งใจกินอาหารนั้น เราก็จะลืมเรื่องราวปัญหาต่างๆในชีวิต ใจจดใจจ่อกับอาหาร ดีกว่ามานั่งรีบๆกินเพราะนึกถึงเรื่องต่างๆที่ต้องทำ
5 . ต่อต้านอาหารจานด่วนและการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ชีวิตที่วุ่นวาย ตึงเครียด ไร้ระเบียบ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อาหารจานด่วนมีอิทธิพลกับคนเราในปัจจุบัน และการกินเร็วๆเข้าไว้เพื่อการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น ก็บั่นทอนสุขภาพกายและใจได้อย่างดี เพราะฉะนั้น ควรต่อต้านด้วยการกินให้ช้าลงๆ หรืออาจลองทำอาหารกินเองที่บ้าน เพียงเท่านี้ ก็สามารถเพิ่มความสุข สุขภาพดีได้ทั้งกายและใจอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

รู้จักไว้"แมงกะพรุนกล่อง"!! สธ.เตือนพิษแรงสัมผัสถึงตาย เล่นน้ำทะเลระวัง

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เตือน ฤดูฝนเล่นน้ำทะเลระวังแมงกะพรุน ระวังสัมผัส พิษสูง จับมือกรมควบคุมโรค ลงนามความร่วมมือความรู้ความหลากหลายด้านชีวภาพ เผยแพร่ความรู้ป้องกันบาดเจ็บ เร่งศึกษาพิษแมงกะพรุนกล่องที่รุนแรงถึงตาย
วันที่ 4 มิถุนายน นายนพพล ศรีสุข อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)และ นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ร่วมลงนามความร่วมมือระหว่างกันทางด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับความหลากหลาย ชนิด การแพร่กระจาย ฤดูกาล ของแมงกะพรุนพิษในประเทศไทย รวมถึงแนวทางการป้องกันการบาดเจ็บจากการสัมผัสแมงกะพรุนพิษ

นายนพพล กล่าวว่า ทช.ได้ ทำโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับชนิดของแมงกะพรุนพิษและที่สงสัยว่ามีพิษในน่านน้ำไทยรวมทั้งการพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสัมผัสแมงกะพรุนพิษรวมทั้งท่อบรรจุน้ำส้มสายชู (vinegar pole) สำหรับล้างพิษเบื้องต้น ในพื้นที่ 6 จังหวัด ของชายฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งได้แก่ จ.ภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง สตูล และระนอง และอีก 3 จังหวัดทางฝั่งอ่าวไทย ได้แก่ ระยอง จันทบุรี และตราด เพื่อให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมือในการพัฒนาความก้าวหน้าด้านการจัดการองค์ความรู้เกี่ยวกับแมงกะพรุนพิษเพื่อความเกื้อกูลและสนับสนุนซึ่งกันและกันต่อไปทั้งนี้ในช่วงฤดูฝนจะเป็นช่วงที่ถือว่ามีแมงกะพรุนหลาก กว่าช่วงอื่นๆ

นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีคร. กล่าวว่า มีข้อมูลว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตจากแมงกะพรุนพิษขณะมาเที่ยวทะเลในประเทศไทย จากการวิจัยโดยสำนักระบาดวิทยา พบว่า มีผู้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเนื่องจากแมงกะพรุนพิษตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 จำนวน 918 ราย มีอาการหนักจนถึงหมดสติหรือเสียชีวิต
"พบว่า มีอย่างน้อย 12 รายมีอาการคล้ายกับถูกพิษของ แมงกะพรุนพิษชนิดที่เรียกว่าแมงกะพรุนกล่อง ซึ่ง ที่มีพิษร้ายแรงแต่พบได้ไม่บ่อย และความรู้เรื่องแมงกะพรุนกล่องยังเป็นเรื่องใหม่ในแวดวงวิชาการของประเทศไทย ซึ่งต้องมีการศึกษาและเผยแพร่ให้ทั้งนักวิชาการด้านต่างๆที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนรับรู้ในวงกว้าง แมงกะพรุนกล่องนี้พบทั้งในฝั่งอ่าวไทยและอันดามันโดยพื้นที่ที่พบผู้ป่วยรุนแรงและเสียชีวิตมักเป็นบริเวณน้ำตื้นใกล้ชายหาดในพื้นที่อ่าวโค้งเว้าในช่วงที่คลื่นลมสงบ เนื่องจากแมงกะพรุนกล่องมักมาหาเหยื่อพวกลูกกุ้ง ลูกปลาในพื้นที่ลักษณะนี้"นพ.โสภณ กล่าว

นพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับการป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแมงกะพรุนกล่อง ได้แก่ การสวมเสื้อผ้ามิดชิด เช่น แขนยาว ขายาวแนบตัวขณะลงทะเลในพื้นที่และฤดูกาลที่พบแมงกะพรุนกล่อง ซึ่งวิธีการนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งตาข่ายในทะเลเพื่อกันแมงกะพรุนซึ่งจะทำบริเวณน้ำตื้นริมหาดและให้นักท่องเที่ยวเล่นน้ำในบริเวณที่กั้นตาข่ายนั้นรวมถึงการให้มีจุดวางน้ำส้มสายชูและติดป้ายให้ความรู้เกี่ยวกับการช่วยเหลือเบื้องต้น น้ำส้มสายชูมีฤทธิ์ในการระงับการยิงพิษจากถุงพิษที่ยังไม่ออกฤทธิ์ การราดด้วยน้ำส้มสายชูจึงไม่ได้ลดอาการปวด แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยได้รับพิษเพิ่มขึ้น ให้ใช้น้ำส้มสายชูทั่วไปที่ใช้ในครัวเรือนโดยไม่ต้องผสมน้ำให้เจือจาง และราดให้ทั่วบริเวณที่สัมผัสหนวดแมงกะพรุนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 30 วินาที

′เดิน′ ให้เป็น ช่วยดูแลสุขภาพ


 ให้อะไรดีๆ มากกว่าที่คิด
นอกจากเป็นวิธีออกกำลังกายที่แทรกเข้ามาในชีวิตประจำวันแบบที่เราแทบไม่รู้ตัวแล้ว ยังสามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย แถมให้ผลดีกับร่างกายอย่างน่าอัศจรรย์ เช่น ช่วยเพิ่มสารเอ็นดอร์ฟินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยลดความตึงเครียด ความโกรธ ความเหนื่อยล้า และความวิตกกังวล ช่วยให้การทำงานของหัวใจและปอดดีขึ้น ซึ่งอวัยวะทั้งสองนี้มีความสำคัญต่อเซลล์ต่างๆ ทุกส่วนของร่างกายจำเป็นต้องได้รับเลือดที่นำเอาออกซิเจนมาหล่อเลี้ยงตลอดเวลา นอกจากนี้ การเดินยังลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ
ที่สำคัญ ยังสร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า คงความเยาว์วัยตลอดกาล...ฟิตทั้งกายและใจเลยทีเดียว
ชาญณรงค์ ธีระโรจนารัตน์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์การ์มิน บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงเทรนด์การดูแลสุขภาพในปัจจุบันของคนไทย พบว่าคนไทยให้ความสำคัญกับสุขภาพ และใส่ใจในรายละเอียดการดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว สุขภาพที่แข็งแรงเปี่ยมพลังในการดำเนินชีวิตก็สำคัญไม่แพ้กัน
"ปัจจุบันเทรนด์การดูแลสุขภาพและการออกกำลังกายได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีข้อจำกัด ด้วยไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนที่ไม่สามารถออกกำลังกายได้อย่างที่ต้องการ จึงแนะนำให้เริ่มจากการเดิน ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องลงทุน และยังทำได้ทุกที่ทุกเวลา" ชาญณรงค์กล่าว
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านออกกำลังกายจากเดอะ แล็บ แขกรับเชิญพิเศษในทริป "การ์มิน อีท มีทส์ ฟิต" (Garmin EAT MEETS FIT) แนะนำเทคนิคการดูแลสุขภาพง่ายๆ ที่ทำได้ทุกเวลาสำหรับคนที่ต้องการมีสุขภาพดี โดยเฉพาะหนุ่มสาวออฟฟิศ ซึ่งมีชีวิตเร่งรีบและไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเองว่า การมีสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเรามีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน วิธีง่ายๆ ในการดูแลตัวเองเริ่มได้ด้วยการ "ลุกเดิน" และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมระหว่างวันเล็กน้อย
เริ่มต้นวันด้วยการยืดเส้นยืดสายบนที่นอน อย่างการก้มแตะปลายเท้า หรือบิดขี้เกียจเพื่อยืดเส้นยืดสาย กระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น หากใครที่ช่วงเช้าไม่ต้องเร่งรีบมากนัก ลองเจียดเวลาสัก 15 นาที ออกไปเดินเรียกเหงื่อ เป็นการเพิ่มความสดชื่นก่อนอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน
ที่สำคัญ ไม่ควรละเลยมื้อเช้าที่ช่วยเติมพลังให้มีแรงทำงานตลอดทั้งวัน โดยเลือกเมนูที่ให้สารอาหารครบ 5 หมู่ ระหว่างวันไม่ควรมองข้ามการนั่งในท่าที่เหมาะสมสำหรับการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ อย่างการหาหมอนรองหลังขณะนั่งให้หลังตรงตลอดเวลา ลุกเดินทุกครึ่งชั่วโมง เปลี่ยนอิริยาบถ อาจจะแค่เดินไปชงกาแฟ เดินไปถ่ายเอกสาร เดินไปเข้าห้องน้ำ หรือถ้าอยากเพิ่มความปลอดโปร่งให้สมองแล่น อาจสละเวลาสัก 5-10 นาที ออกไปเดินเร็วๆ สัก 10-20 รอบที่หน้าลิฟต์หรือโถงทางเดิน
ขอแค่ให้ได้ลุกเดิน เพื่อป้องกันการปวดเมื่อยจากโรคออฟฟิศซินโดรม
เมื่อถึงช่วงบ่ายต้องเติมพลังด้วยอาหารว่างเพื่อสร้างความกระฉับกระเฉง แนะนำให้กินของว่างที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ปริมาณแคลอรีน้อยแถมอร่อยด้วย อย่างถั่วกรอบๆ ที่ให้โปรตีน หรือผลไม้สดสลับสับเปลี่ยนประเภทกันไปในแต่ละวัน หรือจะเป็นโยเกิร์ตหวานน้อยสักถ้วย เป็นของว่างที่กินได้ง่ายๆ ในที่ทำงาน เพื่อสมองที่ปลอดโปร่งพร้อมทำงานต่อไปได้อย่างเต็มที่จนถึงเวลาเลิกงานเลยทีเดียว
เวลาเดินทางกลับบ้าน หากขึ้นรถไฟฟ้าให้หลีกเลี่ยงบันไดเลื่อน หันมาเดินขึ้นบันไดให้หัวใจเต้นเลือดสูบฉีดแทนดีกว่า ถ้าอยากฟิตกว่านั้น ลองเปลี่ยนจากรองเท้าส้นสูงที่มีแต่ทำลายสุขภาพมาเป็นผ้าใบออกกำลังกายสักคู่ แล้วตั้งใจเดินจากที่ทำงานไปรถไฟฟ้า ทำได้แค่นี้ทุกวันก็ถือว่าได้ออกกำลังกายแล้ว
กลับถึงบ้านลองเปลี่ยนกิจกรรมเป็นเดินเล่นกับน้องหมา หรือเดินเล่นในบริเวณบ้าน แทนที่จะนั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์หรือดูทีวี รับรองสุขภาพดีอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ขอแค่ลุกขึ้นมาเดิน เริ่มจากวันละนิดและค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากเมื่อไรเดินได้ถึงวันละ 10,000 ก้าวก็เฮได้ ยิ่งสมัยนี้มีตัวช่วยมากมาย อาจใช้เครื่องนับก้าวที่ใส่ติดข้อมือ บอกให้รู้ว่าเราเดินได้กี่ก้าว ระยะทางไกลเท่าไร และมีสัญญาณเตือนเมื่อเรานั่งอยู่กับที่ไม่ลุกไปไหนเป็นเวลานาน เหมือนมีคนคอยเตือนให้เราตื่นตัวอยู่เสมอ
การมีสุขภาพที่ดีไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับเราอีกต่อไป เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสม และหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองให้มากขึ้น
เริ่มต้นเดี๋ยวนี้ได้เลย ลุกจากเก้าอี้แล้วเดิน!

ที่มา นสพ.มติชน

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ขนมทองพับเสริมแคลเซียม

ทองพับเป็นอาหารว่างที่มีความกรอบ หอม อร่อย ราคาย่อมเยา เพื่อเพิ่มคุณค่าโภชนาการ ฝ่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พัฒนาสูตรโดยใช้นมถั่วเหลืองทดแทนกะทิร้อยละ 50 เพื่อลดปริมาณไขมันอิ่มตัว และเสริมไตรแคลเซียมฟอสเฟตเพื่อเพิ่มแคลเซียมเป็นประมาณ 120 มิลลิกรัม เท่ากับปริมาณแคลเซียมในนมวัวครึ่งแก้ว เมื่อกินทองพับเสริมแคลเซียม 1 หน่วยบริโภค

แคลเซียม เป็นสารประกอบสำคัญของกระดูกและฟัน ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท เป็นปกติ แต่ร่างกายคนเราไม่สามารถสร้างแคลเซียมได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากอาหารที่กินเข้าไป เพื่อทดแทนแคลเซียมที่ถูกใช้และขับออกจากร่างกายในแต่ละวัน
จากการศึกษาพบว่าคนไทยส่วนใหญ่ได้รับแคลเซียมจากอาหารเพียง300มิลลิกรัมประมาณ 1 ใน 3 ของความต้องการในแต่ละวันเท่านั้น (800 มิลลิกรัม) จึงมีภาวะเสี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน และกลุ่มผู้สูงวัย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการดูดซึมแคลเซียมน้อยลง มีผลต่อระบบการทำงานของกล้ามเนื้อด้อยลง และการเกิดภาวะกระดูกพรุน ซึ่งเสี่ยงต่อการที่กระดูกแตกหักง่าย หรือกระดูกโค้งงอเมื่อสูงวัยขึ้น

ไตรแคลเซียมฟอสเฟต เป็นแหล่งของแคลเซียมใช้เสริมในผลิตภัณฑ์อาหาร ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 84 (2527๗) จึงมีความปลอดภัยใช้ผสมอาหารได้ (http://www.gadotbio.com/var/124/1356-TCP.pdf: access on 5 Sep 2009.)
การผลิตทองพับสามารถเพิ่มคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์อื่นๆ ได้ด้วยการผสมผัก ผลไม้ สมุนไพร และธัญพืช ซึ่งมีผลดีต่อทั้งการเพิ่มปริมาณเส้นใยอาหารรวมทั้งสารพฤกษเคมี และยังทำให้ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายและเพิ่มมูลค่าขึ้นด้วย เช่น เผือก ฟักทอง และกล้วยหอม ลูกเดือย ผักหวาน ใบมะรุม เพื่อให้มีความหลากหลายของกลุ่มอาหาร ถ้ากินเป็นชุด หลากรส ตั้งแต่ 3 รสขึ้นไป จะได้คุณค่าโภชนาการจากอาหารครบทั้ง 5 หมู่ และได้รับเส้นใยอาหาร สารพฤกษเคมีเพิ่มจากเผือก ฟักทอง กล้วยหอม ลูกเดือย ผักหวาน และใบมะรุม อีกด้วย
ทองพับเสริมแคลเซียม 1 สูตรได้ 24 ชิ้น ให้ 1 หน่วยบริโภคเป็น 3 ชิ้น
ส่วนผสม น้ำหนัก หน่วยตวง
แป้งสาลี 90 กรัม 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 60 กรัม 1/3 ถ้วยตวง
เกลือ 1 กรัม 1/8 ช้อนชา
น้ำกะทิ 55 กรัม 1/4 ถ้วยตวง
นมถั่วเหลืองไม่ใส่น้ำตาล 55 กรัม 1/4 ถ้วยตวง
ไข่ไก่ 50 กรัม 1 ฟองขนาดกลาง
น้ำปูนใส 30 กรัม 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 100 กรัม 1/2 ถ้วยตวง
งาดำคั่ว 15 กรัม 1 ช้อนโต๊ะ+2 ช้อนชา
น้ำมันพืชสำหรับทาพิมพ์ 4 กรัม 1 ช้อนชา
ไตรแคลเซียมฟอสเฟต 2.1 กรัม 1 ช้อนชา + 1/3 ช้อนชา
เคล็ดแต่ไม่ลับ
1. การเติมน้ำปูนใสทำให้ขนมมีความกรอบมากขึ้น โดยการชั่งปูนที่กินกับหมาก 2 กรัม แล้วเติมน้ำ 100 กรัม คนให้ละลายแล้วตั้งทิ้งไว้ให้ใสก่อนนำสารละลายส่วนใสมาใช้
2. งาคั่วที่ใช้ ให้เตรียมใหม่ๆ ก่อนใช้ เพราะจะทำให้ขนมมีกลิ่นหอมน่ากิน
3. การปิ้งขนมให้กรอบอร่อยให้สังเกตสีขนมว่าควรมีสีเหลืองออกน้ำตาลอ่อนเล็กน้อย
4.การพับขนมให้สวยต้องรีบพับทันทีหลังจากแซะขนมออกจากพิมพ์
ที่มา: facebook มูลนิธิหมอชาวบ้าน

มะระ : ยาในครัวเรือน แก้ได้สารพัดโรค

 : ยาในครัวเรือน
ชื่อในประเทศไทย
มะระ มะระจีน มะนอย มะห่อย มะระขี้นก ผักให้โควกวยเกี๊ยะ
ชื่อในประเทศจีน
โควกวย กิ้มหลีกี ไทผู้ท้อ บ้วงหลีกี
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
โมมอดิคา ชาแรนเทีย ลิน (Momordica Charantia L.)
ลักษณะ
เป็นไม้เถาชอบขึ้นพาดพันต้นไม้อื่น ๆ หรือขึ้นตามร้านต้นไม้ที่ทำให้ใบเป็นจักเว้าลึกเข้าไป ชอบขึ้นตามที่ลุ่มต่ำแฉะ และต้องบำรุงด้วยปุ๋ย โดยมากชอบปลูกเอาผลไว้รับประทานเป็นอาหาร และใบใช้เป็นผักได้อย่างดี มะระนี้มี 2 ชนิด ชนิดหนึ่งลูกใหญ่ เรียกกันว่า มะระจีน อีกชนิดหนึ่งลูกเล็กๆ และขมกว่าอย่างชนิดผลใหญ่ เรียกกันว่า มะระไทย มะระขี้นก ฯลฯ รส ขมจัด
รส
ขม เย็น ไม่มีพิษ
ธาตุ
เมื่อแยกธาตุออกแล้วปรากฏว่า มีธาตุต่างๆ หลายชนิด ที่สำคัญ คือ มีโปรตีน และวิตามินซี อยู่ด้วย
ประโยชน์และวิธีใช้

1. ใช้เป็นอาหารประจำวัน ได้ดีเยี่ยม เป็นยาเจริญอาหารขนานเอกตาม ตำราไม้เทศเมืองไทย อาจารย์เสงี่ยม พงษ์บุญรอด กล่าวว่า
1.1 เป็นยาเจริญอาหาร
1.2 บำรุงน้ำดี
1.3 แก้โรคข้อรูมาติซึม และ เก๊าท ได้ดี
1.4 ขับพยาธิในท้อง
1.5 ใช้ใบต้ม รับประทานน้ำ เป็นยาระบายอ่อน
1.6 ถ้าใช้ผลชนิดเล็กสั้น (มะระขี้นก) ต้มรับประทานแต่น้ำเป็นยาแก้ไข้
1.7 เมื่อคั้นเอาแต่น้ำรับประทานแก้ปากเปื่อยปากเป็นขุยและบำรุงระดูสตรี
2. ตามตำรา "หิ่งต่อซีกเองตงเอียะ" กล่าวว่า
2.1 ผลเป็นยาลดความร้อนแก้ร้อนในกระหายน้ำแก้อ่อนเพลียทำให้ตาสว่าง
2.2 เมล็ดเป็นยากระตุ้นกำหนัดเพิ่มพูนลมปราณบำรุงธาตุบำรุงกำลัง
ปริมาณและวิธีใช้
1. เนื้อมะระลูกใหญ่ที่เอาเม็ดออกแล้วกินลันละประมาณ 2 ผล โดยวิธีต้มกิน
2. เมล็ดกินวันละประมาณ 3 กรัม ต้มกิน
หลักฐานที่ใช้รวบรวม
1. ตำราไม้เทศเมืองไทย ของ อาจารย์เสงี่ยม พงษ์บุญรอด
2. ตำรา "หิ่งต่อซีกเองตงเอียะ"
ข้อมูล : facebook นิตยสารหมอชาวบ้าน

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เปรียบอาหารเช้าเสมือนพระราชา กินน้อยเครียดมาก ′อ่อนไหว-หงุดหงิด′ง่าย

ชีวิตคนในเมืองมักจะไม่ได้กิน เพราะความเร่งรีบ คุณเคยสังเกตตัวเองไหมว่า การไม่ได้กินอาหารเช้า ในวันนั้นคุณรู้สึกว่าตัวเองจะหงุดหงิดเป็นพิเศษและอารมณ์จะอ่อนไหวง่าย

นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันพบว่า คนที่กินอาหารเช้าน้อยเท่าไรยิ่งเกิดความเครียดได้มากเท่านั้น และอารมณ์จะอ่อนไหวง่าย หงุดหงิดง่าย ในทำนองเดียวกันหากคุณกินอาหารมื้อกลางวันที่ให้พลังงานน้อย ก็จะมีผลเช่นเดียวกัน ซึ่งจากการศึกษาพบว่า อาหารที่กินเข้าไปมีผลต่ออารมณ์และความเครียด
เขาได้ทำการศึกษาโดยแบ่งคนออกเป็น๒ กลุ่ม กลุ่มแรกให้กินอาหารเช้าและกลางวันตามปกติ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะให้กินอาหารที่มีพลังงานต่อมื้อต่ำ เขาพบว่า มีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องอารมณ์ แต่กลุ่มที่ได้รับพลังงานต่ำจะเกิดความเครียดขึ้นมีความกระวนกระวายและมีความอดทนน้อยลงในการทำงาน
ส่วนที่อังกฤษเขาได้แสดงผลการศึกษาการกินอาหารเช้าที่มีไขมันมากว่าจะทำให้สมองทำงานช้าลง เฉื่อย ล้า ขาดความคิดสร้างสรรค์ และมีความเพ้อฝันมากขึ้น University of Sheffield ได้ตรวจสอบ พบว่า ในกระบวนการย่อยไขมันจะไปลดความกระฉับกระเฉง ความคล่องแคล่วว่องไว และความละเอียดลออลง
ในบทความดังกล่าวยังได้เปรียบเทียบความสำคัญของอาหารแต่ละมื้อว่าอาหารเช้าเปรียบเหมือนพระราชา อาหารกลางวันเปรียบเหมือนพระราชินี ส่วนอาหารมื้อค่ำเปรียบเหมือนยาจก ใครจะเน้นหนักมื้อไหนก็คิดดูเอาเอง
ข้อมูล : Facebook นิตยสารหมอชาวบ้าน

คุณ..ขับถ่ายปกติ หรือ ผิดปกติ


เคยสงสัยมั้ยว่าของเรานั้นปกติ หรือ ผิดปกติ? วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจนั้นให้กับคุณกันค่ะ สำหรับคนที่มีการขับถ่ายที่เป็นปกติ จะต้องเป็นคนที่ขับถ่ายของเสีย หรือ อุจจาระเป็นประจำทุกๆ วัน ซึ่งหากใครคนไหนมีการขับถ่ายที่ไม่สม่ำเสมอทุกวันแล้วนั้น นั่นแสดงว่าคุณกำลังเผชิญกับการขับถ่ายที่ผิดปกติกันอยู่ แต่จะผิดปกติมากหรือน้อย ขึ้นกับจำนวนครั้งที่คุณขับถ่ายต่อสัปดาห์นั่นเอง
หากว่าคุณขับถ่ายเพียงแค่ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นจำนวนที่น้อยมากๆ แบบนี้ แน่นอนว่าการขับถ่ายของคุณจะต้องผิดปกติมากเลยทีเดียว หรืออีกนัยคือคุณกำลังเผชิญกับปัญหาท้องผูก กว่าจะถ่ายออกได้ คุณจะต้องใช้เวลาในการเบ่งนานพอสมควร แถมก้อนอุจจาระที่ออกมานั้นยังเป็นก้อนแข็ง ทำให้รู้สึกเหมือนขับถ่ายไม่สะดวก ขับถ่ายออกมาไม่สุด และมีความรู้สึกว่าถ่ายไม่ออกเนื่องจากมีสิ่งอุดกั้นบริเวณทวารหนัก สร้างความรู้สึกทรมานไม่น้อยเลยทีเดียว แถมบางครั้งยังส่งผลต่อจิตใจ ทำให้เกิดความเครียดจนไม่สามารถทำงานทำการต่อได้เลยก็มี
ใครที่รู้ตัวว่ามีอาการเข้าข่ายกับโรคท้องผูกนี้ อย่าเพิ่งใจเสียกันไปเสียก่อนนะคะ ถึงแม้ว่าคุณจะขับถ่ายผิดปกติ แต่ก็ยังมีวิธีช่วยให้คุณขับถ่ายได้ดีขึ้นอยู่ ซึ่งนั่นก็คือปรับนิสัยในการรับประทานอาหารและปรับนิสัยในการขับถ่ายนั่นเอง หากว่าเคยเป็นคนชอบดื่มกาแฟ แอลกอฮอลล์ ชอบทานอาหารรสจัด หรือเลือกไม่ทานผักอยู่แล้วล่ะก็ คุณควรจะเริ่มปรับนิสัยในการรับประทานและดื่มได้แล้ว เพราะทั้งกาแฟ แอลกอฮอลล์ และอาหารรสจัด ต่างเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดอาการท้องผูก ถ่ายไม่ออกทั้งนั้น ส่วนผักและผลไม้ที่คุณเลือกไม่ทาน กลับมีกากใยอาหารสูง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น ดังนั้นคุณควรจะเริ่มรับประทานตั้งแต่นี้เป็นต้นไปได้แล้วค่ะ
และนอกจากผักและผลไม้แล้วนั้น ยังมีอาหารเสริมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์อย่างโปรไบโอติกส์อีกอย่างที่ช่วยให้การขับถ่ายของคุณดีขึ้นได้ ทางการแพทย์มีการพิสูจน์แล้วว่า เมื่อทานโปรไบโอติกส์ที่มีเชื้อฟิโดแบคทีเรียม ลองกัม BB536 แล้วนั้น พบว่าจะช่วยปรับระบบทางเดินอาหารให้กลับมามีความสมดุล ทำให้มีการขับถ่ายบ่อยขึ้นได้ประมาณ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ และแน่นอนว่าเมื่อคุณปรับนิสัยในการรับประทานอาหารเฉพาะที่มีประโยชน์ รวมถึงการทานอาหารเสริมเพิ่มจุลินทรีย์ได้แล้วนั้น คุณยังต้องไม่ลืมฝึกนิสัยให้เคยชิน พยายามขับถ่ายสม่ำเสมอ แม้ว่าจะเร่งรีบแค่ไหน ก็อย่าลืมขับถ่ายให้เป็นเวลา หากทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ได้แล้วล่ะก็ การขับถ่ายปกติก็จะอยู่ไม่ไกลตัวคุณแล้วล่ะค่ะ

ผักบุ้ง : ผักพื้นบ้านยอดนิยมตลอดกาล เพียบพร้อมรสชาติ-คุณค่าทางอาหาร-รักษาโรคอื้อซ่า

"น้ำท่วมทุ่ง โหรงเหรง"

ข้อความที่ยกมาข้างต้นนี้ เป็นสำนวนไทยที่ใช้กันมาแต่ครั้งโบราณ มีความหมายเปรียบเทียบถึงคำพูด(หรือข้อเขียน)ที่มีปริมาณคำพูด(หรือตัวหนังสือ)มากมาย แต่มีเนื้อหาสาระน้อยนิดเดียว ปัจจุบันสำนวนนี้มักใช้กันสั้นๆว่า "น้ำท่วมทุ่ง" ทำให้คนไทยรุ่นใหม่หลายคนไม่ทราบถึงที่มาของสำนวนนี้ว่า มีความเกี่ยวข้องกับสภาพภูมิประเทศ ฤดูกาล และผักพื้นบ้านยอดนิยมของชาวไทยอย่างไร
ในอดีตบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางของไทยช่วงปลายฤดูฝนต่อถึงฤดูหนาว(ปลายฝนต้นหนาว)จะมีน้ำหลากจากภาคเหนือมาท่วมท้องทุ่งนาเป็นปกติทุกปี น้ำจะท่วมอยู่นาน 3-4 เดือน ก็ค่อยๆแห้งลงไป ช่วงนี้เองตรงกับตอนแรกของสำนวนที่ว่า "น้ำท่วมทุ่ง" และเมื่อน้ำท่วมพื้นดินในท้องทุ่งก็จะเกิดพืชหลายชนิดที่เหมาะกับสภาพน้ำท่วมขึ้นงอกงามในท้องทุ่งร่วมกับต้นข้าวที่ชาวนาเพาะปลูกเอาไว้
ในบรรดาพืชที่ขึ้นในน้ำตามธรรมชาตินี้มีผักบุ้งซึ่งเป็นผักยอดนิยมของชาวบ้านขึ้นรวมอยู่ด้วยแทบทุกวันชาวบ้านมักพาย(หรือถ่อ)เรือออกไปในทุ่งเพื่อเก็บผักต่างๆมาประกอบอาหารซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผักบุ้งนั่นเองดังนั้นชาวไทยในอดีตจึงเลือกผักบุ้งมาใช้ในสำนวน "น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง"
ปัจจุบันโอกาสที่จะเกิด "น้ำท่วมทุ่ง" จริงๆนั้นยากมาก เพราะมีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่กั้นแม่น้ำในภาคเหนือเอาไว้หลายเขื่อน (และกำลังจะสร้างเพิ่มอีกเรื่อยๆ) คงต้องรอให้เกิดภาวะผิดปกติที่เรียกว่า "อุทกภัย" ในภาคเหนือเสียก่อนนั่นแหละจึงจะเกิดน้ำท่วมทุ่งภาคกลางขึ้นได้ นอกจากนั้นเกษตรกร(รวมทั้งชาวนา)ยังฉีดพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืชกันมากขึ้นทุกที ทำให้ผักบุ้งแทบจะสูญหายไปจากท้องทุ่งอยู่แล้ว อนาคตลูกหลานชาวไทยคงไม่มีโอกาสเห็น "น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง" อันเป็นที่เกิดของสำนวนนี้เป็นแน่
ผักบุ้ง : ผักของบุ้ง?
เชื่อว่าชาวไทยส่วนใหญ่รู้จักผักบุ้งดีกว่าผักชนิดอื่นๆ แต่หากถามว่าทำไมจึงมีชื่อว่าผัก "บุ้ง" หลายคนคงนึกไม่ออก นอกจากนั้นหลายคนคงไม่รู้จัก "บุ้ง" ด้วย เพราะคนไทยปัจจุบัน(โดยเฉพาะคนในเมือง)มีไม่มากนักที่มีโอกาสรู้จักและพบเห็น "บุ้ง" ซึ่งเป็นตัวหนอนผีเสื้อชนิดหนึ่ง มีขนยาวเป็นอาวุธป้องกันตัว ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์(พ.ศ.2516) อธิบายว่า "บุ้ง : เป็นชื่อสัตว์ตัวเล็กอย่างหนึ่ง ตัวมันเท่าด้ามปากกา(ขนไก่) สั้นสักนิ้วเศษๆ ตัวเป็นขน คนถูกมันเข้าให้บวมแลคันนัก"
บุ้งก็เช่นเดียวกับหนอนผีเสื้ออื่นๆ คือกินยอดอ่อนและใบไม้เป็นอาหาร สำหรับบุ้งคงจะชอบใบผักบุ้งเป็นพิเศษ ชาวบ้านคงพบบุ้งที่ผักบุ้งมากกว่าที่อื่น จึงตั้งชื่อผักชนิดนี้ว่า "ผักบุ้ง" ไปด้วย
หนังสืออักขราภิธานศรับท์อธิบายผักบุ้งเอาไว้ว่า "เป็นต้นผักเกิดในน้ำแลในที่ลุ่มๆ ไม่มีน้ำบ้าง เขาเก็บเอามาต้มแกงแลดองกินกับข้าวนั้น"
ผักบุ้งนับว่าเป็นพืชที่ปรับตัวเข้ากับสภาพน้ำได้ดีมากจนได้ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่าIpomoeaaquatica Forsk. จะเห็นว่าชื่อชนิด(species)คือ aquatica หมายถึงน้ำหรือชอบขึ้นในน้ำนั่นเอง ชื่อสามัญในภาษาอังกฤษคือ Water cabbage(หรือผักกาดน้ำ) ก็เน้นเกี่ยวกับน้ำเช่นเดียวกัน
ผักบุ้งเป็นพืชจำพวกเถาเลื้อย ลำต้นกลมเป็นปล้อง ข้างในกลวงคล้ายลำไผ่ ปล้องที่กลวงนี้ช่วยให้ผักบุ้งลอยอยู่ในน้ำได้ดี ใบและยอดแตกออกตามข้อ(รวมทั้งราก) ก้านใบยาวกลวง ใบลักษณะคล้ายหัวลูกศร ดอกบานเป็นปากแตร กลีบดอกสีม่วงหรือขาว(ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) ผลกลมขนาดเล็ก ในลำต้นและก้านใบมียางสีขาว ผักบุ้งมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในเขตร้อนน้ำท่วมขังของทวีปเอเชีย ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย ชาวไทยจึงรู้จักคุ้นเคยกับผักบุ้งมาแต่โบราณกาล
บริเวณที่ราบลุ่มซึ่งไม่แห้งแล้งเกินไปจะพบผักบุ้งขึ้นตามธรรมชาติอยู่ทั่วไปชาวชนบทที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลำคลองนิยมนำผักบุ้งมามัดเป็นแพลอยอยู่ในแม่น้ำลำคลองบริเวณชายตลิ่งเพื่อเอาไว้เก็บมาบริโภคโดยไม่ต้องไปเก็บไกลบ้าน แพผักบุ้งช่วยป้องกันคลื่นจากเรือที่ผ่านไปมามิให้กระแทกเซาะดินที่ตลิ่งอีกด้วย นอกจากนั้นบริเวณใต้แพผักบุ้งยังมีสัตว์น้ำหลายชนิดชอบมาอาศัย เช่น ปลา กุ้ง หอย เจ้าของผักบุ้งสามารถจับมาเป็นอาหารได้ตลอดปี
ผักบุ้งในประเทศไทยแบ่งเป็น 2 สายพันธุ์ คือ ผักบุ้งไทยและผักบุ้งจีน ผักบุ้งไทยคือผักบุ้งสายพันธุ์ธรรมชาติที่ขึ้นเองหรือชาวบ้านนำมามัดเป็นแพลอยอยู่ตามแม่น้ำลำคลอง ผักบุ้งไทยลำต้นมีสีเข้ม เขียวอมม่วง ทนทานแข็งแรง มียางมากกว่าพันธุ์ผักบุ้งจีน
ผักบุ้งจีนเป็นพันธุ์ที่นำมาจากต่างประเทศ ปัจจุบันผลิตเมล็ดได้เองในประเทศไทย นิยมปลูกเป็นการค้า ลำต้นค่อนข้างขาว ใบสีเขียวอ่อน ดอกสีขาว มียางน้อยกว่าผักบุ้งพันธุ์ไทย เกษตรกรปลูกผักบุ้งพันธุ์จีนขายเป็นส่วนใหญ่
ผักยอดนิยม : เพียบพร้อมด้วยรสชาติและคุณค่า
ชาวไทยรู้จักนำผักบุ้งมาประกอบอาหารตั้งแต่โบราณกาลนับได้ว่าเป็นผักสำหรับคนทุกระดับชั้นตั้งแต่เศรษฐีไปจนถึงยาจกเพราะเก็บเอาเองได้โดยไม่ต้องซื้อหา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมีบันทึกในพงศาวดารว่า ครั้งหนึ่งมีการเก็บภาษีผักบุ้งจากราษฎรทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว จนมีผู้ร้องเรียนพระเจ้าแผ่นดิน ในที่สุดภาษีผักบุ้งก็ถูกยกเลิกไป การที่มีบันทึกในพงศาวดารเช่นนี้แสดงว่าผักบุ้งมีความสำคัญต่อชีวิตของคนในสมัยนั้นมาก ยากจะหาผักชนิดใดเปรียบเทียบได้ แม้ในปัจจุบันความสำคัญของผักบุ้งก็มิได้ลดลงแต่อย่างใด
คนไทยใช้ผักบุ้งประกอบอาหารได้หลายชนิดตั้งแต่กินสดๆกับน้ำพริกปลาร้า ส้มตำ ฯลฯ หรือต้มให้สุก ดองเป็นผักดองก็ได้ นำไปแกง เช่น แกงส้ม แกงเทโพ ฯลฯ ก็ดี แต่ตำรับอาหารจากผักบุ้งที่นับว่ายอดนิยมและรู้จักดีที่สุดเห็นจะได้แก่ ผัดผักบุ้งไฟแดงที่มีไฟลุกท่วมกระทะนั่นเอง ยิ่งกว่านั้นร้านอาหารบางแห่งยังคิดค้นวิธีเสิร์ฟผักบุ้งไฟแดงด้วยวิธีพิเศษเรียกว่า "ลอยฟ้า" โดยเหวี่ยงจากกระทะลอยไปหาจาน (ซึ่งมีคนคอยรับ) ห่างออกไปนับสิบเมตรจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
นอกจากรสชาติแล้วผักบุ้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงอีกด้วยเช่นธาตุเหล็กแคลเซียม และฟอสฟอรัส มีสูงกว่าผักชนิดอื่นๆ ทั้งยังมีวิตามินเอและซีมากด้วย คนไทยเชื่อว่าผักบุ้งช่วยบำรุงสายตา(กินผักบุ้งแล้วตาหวาน)น่าจะเป็นความจริง เพราะผักบุ้งมีวิตามินเอและคาโรทีนอยด์ซึ่งเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้อยู่สูง
ประโยชน์ด้านอื่นๆของผักบุ้ง
ผักบุ้งใช้เลี้ยงสัตว์ได้ดีเช่นหมูเป็ด ไก่ กระต่าย และปลา เป็นต้น นอกจากนี้ผักบุ้งยังมีคุณสมบัติด้านสมุนไพรหลายประการ เช่น
น้ำคั้นจากลำต้น(สด) : ทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมาต่างๆ เช่นสารหนู ฝิ่น และพิษงู เป็นต้น
ต้น : ต้มกับเกลือ อมแก้เหงือกบวม(รำมะนาด)
ต้นและใบ : ต้มเอาน้ำดื่มเป็นยาระบาย
ต้น : ต้มกับน้ำตาล ดื่มแก้ริดสีดวงทวาร และตำสดๆ พอกรักษาริดสีดวงทวาร
ใบ : รสจืดเย็น กินแก้ตาฟาง บำรุงประสาทตา
ดอกตูม : รักษากลากเกลื้อน
ผักบุ้งเป็นผักพื้นบ้านที่ปลูกง่ายที่สุดอย่างหนึ่ง ปลูกได้ทั้งในน้ำ บนดิน และในกระถาง ปลูกครั้งเดียวเก็บได้นานเพราะตัดยอดแล้วงอกใหม่ได้อีกหลายครั้ง โรคแมลงน้อย เมล็ดหาได้ง่าย จึงเป็นผักที่น่าปลูกเอาไว้ในบ้านเรือนเป็นอย่างยิ่ง
ที่มา : Facebook นิตยสารหมอชาวบ้าน

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เผยอาหารแสลง : ต้องห้าม 10 โรค


เรามักได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดถึงข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับการกินและข้อควรปฏิบัติ เช่น คนที่ร้อนในง่ายห้ามกินของร้อน (คุณสมบัติหยาง) ของทอดๆ มันๆ ของเผ็ด เช่น
- กินทุเรียนแล้วห้ามกินเหล้า
- กินทุเรียนแล้วควรกินมังคุดหรือกินน้ำเกลือตาม
- กินลำไยมากระวังตาจะแฉะ
- เวลาเริ่มเป็นหวัด เจ็บคอ ควรกินพวกยาขม
- เวลาร้อนใน ให้กินน้ำจับเลี้ยง หรือกินน้ำเก๊กฮวย
- หญิงปวดประจำเดือนห้ามกินของเย็น (ลักษณะหยิน) เช่น แตงโม น้ำมะพร้าว
- คนที่กินยาบำรุงจีน ห้ามกินผักกาดขาว หัวไชเท้า ฯลฯ เพราะจะล้างยา (ทำไห้ฤทธิ์ของยาน้อยลง) ฯลฯ
คำกล่าวเหล่านี้ก็มีในทัศนะทางการแพทย์แผนจีนมาจากพื้นฐานที่ว่า "อาหารคือยา อาหารและยามีแหล่งที่มาเดียวกัน" การเลือกกินอาหารให้เหมาะสมเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องประยุกต์เปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับภาวะที่เป็นจริงของบุคคล เงื่อนไขของเวลา และสภาพภูมิประเทศ (สิ่งแวดล้อม) จึงจะเกิดผลที่ดีต่อสุขภาพ
ในแง่ของคนไข้ การเลือกกินอาหารให้เหมาะสม จะทำให้โรคร้ายทุเลาลง ช่วยเสริมการรักษาและฟื้นฟูร่างกาย ในทางกลับกันการเลือกอาหารไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ย่อมทำให้โรคร้ายรุนแรง กำเริบและบั่นทอนสุขภาพมากขึ้น
อาหารแสลงหรืออาหารต้องห้าม ในความหมายที่กว้าง หมายถึง
๑. การกินอาหารที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป ก็เกิดโทษ
๒. การกินอาหารชนิดเดียวกัน ซ้ำซาก ก็เกิดโทษ
๓. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะร่างกายในยามปกติ (ลักษณะธาตุของแต่ละบุคคล)
๔. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับภาวะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือในขณะที่เป็นโรค
๕. การกินอาหารที่ไม่สอดคล้องกับยาสมุนไพรที่ใช้รักษาในขณะเป็นโรค
การกินอาหารมากไป หรือน้อยไป และการกินอาหารชนิดเดียวกันอย่างซ้ำซากได้กล่าวมาแล้วในครั้งก่อน ที่จะกล่าวต่อไป คือ หลักการหลีกเลี่ยงอาหารในขณะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคต่างๆ หรือภายหลังการฟื้นจากการเจ็บป่วย

อาหารกับโรค
๑. คนที่เป็นไข้หวัด ไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารที่เย็นมาก หรืออาหารทอด อาหารมัน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ย่อยยาก ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมือน "อาหารเชื้อเพลิง" หรือการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ
๒. คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล หรือระบบการย่อยไม่ดี ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมความร้อนในร่างกายทำให้โรคหายยาก แนะนำให้กินอาหารปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง กินอาหารตามเวลา และเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย
๓. คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว (ตามภาวะความเสื่อมของร่างกาย) ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ตับ สมอง ถั่ว น้ำมันหมู ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ น้ำมันเนย รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย(ความชื้นมีผลให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนต่อร่างกายทุกระบบ ความร้อนทำให้ภาวะร่างกายถูกกระตุ้น ทำให้ความดันสูง) นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด (ฤทธิ์กระตุ้น) หรืออาหารหวานมาก เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน ฯลฯ (คุณสมบัติร้อน) เราคงได้ยินบ่อยๆว่า มีคนที่เป็นโรคความดันสูง แล้วไปกินทุเรียนร่วมกับเหล้า แล้วหมดสติ เสียชีวิต จากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว
๔. คนที่เป็นโรคตับหรือโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอดๆ มันๆ อาหารหวานจัด เพราะแผนแพทย์จีนถือว่าตับ ถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของการรับสารอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย ให้เกิดเลือด พลัง การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนความชื้น ทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง
๕. คนที่เป็นโรคหัวใจ โรคไต หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะรสเค็มทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า เป็นภาระต่อหัวใจในการทำงานหนักเพิ่มขึ้น ทำให้ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ขณะเดียวกัน อาหารที่มีรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนทำให้ต้องสูญพลังงานมาก และหัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โดยสรุปคือ ต้องลดการทำงานของหัวใจและไต โดยไม่เพิ่มปัจจัยต่างๆที่เป็นโทษเข้าไป
๖. คนที่เป็นโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน หรืออาหารประเภทแป้งที่มีแคลอรีสูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฯลฯ แนะนำอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ฯลฯ
๗. คนที่นอนหลับไม่สนิท ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน เพราอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือทำให้หลับไม่สนิท
๘. คนที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภท กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้มีความร้อนในตัวสะสมมาก ทำให้ท้องผูก ทำให้เส้นเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ
๙. คนที่มีอาการลมพิษ ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นโรคหอบหืด ควรเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ ผลิตภัณฑ์นมหรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ รวมทั้งรสเผ็ด เพราะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นและทำให้มีอาการผื่น ผิวหนังกำเริบ
๑๐. คนที่เป็นสิว หรือมีการอักเสบของต่อมไขมัน ควรงดอาหารเผ็ดและอาหารมัน เพราะทำให้สะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผลต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด (ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย) ทำให้เกิดสิว
หลักการทั่วไป ต้องหลีกเลี่ยงอาหารดิบๆ สุกๆ มีคุณสมบัติที่เย็นมาก ขณะเดียวกันอาหารที่ผ่านกระบวนการมาก อาหารที่ย่อยยาก อาหารทอดมันๆ อาหารรสเผ็ดจัด เหล้า บุหรี่ ฯลฯ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงภาวะเจ็บป่วยหรือขณะพักฟื้น เป็นภาวะระบบการย่อยดูดซึม (กระเพาะอาหารและม้าม) ทำงานไม่ดี การได้อาหารที่เย็นหรือย่อยยากจะทำให้การย่อย การดูดซึมมีปัญหามากขึ้น ทำให้ขาดสารอาหารมาบำรุงเลี้ยงร่างกาย และต้องสูญเสียพลังเพิ่มขึ้นในการทำงานของระบบย่อย อาหารเผ็ด เหล้า และบุหรี่ มีฤทธิ์กระตุ้นและเพิ่มความร้อนในร่างกายทำให้มีการใช้พลังงานมากโดยไม่จำเป็น
อาหารแสลงในทัศนะแพทย์แผนจีน คือ อาหารที่ไม่เย็น (ยิน) หรืออาหารที่ไม่ร้อน (หยาง) จนเกินไป กล่าวคือต้องไม่ดิบ (ต้องทำให้สุก) และต้องไม่ผ่านกระบวนการที่ทำให้เกิดคุณสมบัติร้อนมากเกินไป (ทอด ย่าง ปิ้ง เจียว ผัด) เพราะสุดขั้วทั้งสองด้านก็ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย
อาหารดิบ ไม่สุก :
ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก ทำให้เสียสมรรถภาพการย่อยดูดซึมอาหารตกค้าง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด ขาดสารอาหาร
อาหารร้อนเกินไป :
ทำให้ระบบย่อยทำงานหนัก มีความร้อนความชื้นสะสม เกิดความร้อนใน ร่างกายมากเกินไป ไปกระทบกระเทือนอวัยวะอื่นๆ เช่น กระทบปอด ลำไส้ ทำให้ท้องผูก เจ็บคอ ปากเป็นแผล กระทบตับ ทำให้ความดันสูง ตาแฉะ อารมณ์หงุดหงิด กระทบไต ทำให้ปวดเมื่อยเอว ผมร่วง ฯลฯ
อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด
จะได้สารและพลังจากธรรมชาติมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ความเห็นในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แนะนำให้กินผักสด ผลไม้สด ซึ่งไม่น่าขัดแย้งกัน เพราะเทคนิคการทำอาหารของจีน ต้องไม่ให้ดิบ และสุกเกินไป เพื่อดูดซับสารและพลังจากธรรมชาติให้มากที่สุด ดิบเกินไปจะทำให้เกิดพิษจากอาหาร สุกเกินไปทำให้เสียคุณค่าอาหารทางธรรมชาติ การเลือกกินอาหารที่ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและมีการปรุงแต่งที่มากเกินไปจะทำให้อาหารฮ่องเต้กลายเป็นอาหารชั้นเลวในแง่หลักโภชนาการ
การเลือกอาหารให้สอดคล้องเหมาะสม ไม่ใช่สูตรตายตัว แต่ต้องยืดหยุ่นพลิกแพลง และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาวะที่เป็นจริงของแต่ละบุคคล เวลา (เช่น ภาวะปกติ ภาวะป่วยไข้ กลางวัน กลางคืน ฤดูกาล) และสถานที่ (ภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม) เพื่อให้เป็นธรรมชาติและยังประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

ข้อมูล : facebook นิตยสารหมอชาวบ้าน

กินกันทุกวัน ...รู้ยัง? ดื่ม ′น้ำผลไม้′ ให้ประโยชน์มากแค่ไหน ?

ณ วันนี้เป็นยุคที่ผู้คนทั้งประเทศตื่นตัว กลัวตาย หันมาใส่ใจดูแลกันมากขึ้น ขณะเดียวกันในด้านของผู้ผลิต ก็ตอบสนองโดยการผลิตสินค้าทั้งอุปโภคและบริโภค ที่ห้อยท้ายด้วยคำว่า "เพื่อสุขภาพ" ออกมาจำหน่ายกันมากมาย หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือ น้ำผลไม้หลากชนิด นานายี่ห้อ ที่มีให้เลือกซื้ออย่างจุใจ
การดื่มน้ำผลไม้ทำให้รู้สึกสดชื่น ดับกระหาย ส่วนคุณค่าทาง โภชนาการจะมีมากน้อยแค่ไหนนั้น เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคทุกคนต้องทราบ เพื่อที่จะได้จัดสรรอาหารการกินในแต่ละวันให้เป็นไปอย่างสมดุล และร่างกายได้รับประโยชน์จากอาหารที่เรากินเข้าไปมากที่สุด แต่ก่อนที่จะไปถึงคำตอบในคำถามที่ตั้งหัวข้อไว้ อยากให้ทำความรู้จักกับน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ กันก่อน

ชนิดของน้ำผลไม้
น้ำผลไม้ที่เราซื้อมาดื่ม ทั้งที่มีขายอยู่นอกห้างและในห้างสรรพสินค้าซึ่งมีทั้งชนิดคั้นสด บรรจุกล่อง บรรจุขวด ฯลฯ หลากหลายรูปแบบนั้น ความจริงแบ่งได้ เป็น ๒ ประเภทเท่านั้น คือ
๑. น้ำผลไม้สด หมายถึง น้ำผลไม้ที่คั้นสำหรับดื่มสดๆ โดยไม่เติมสารปรุง แต่งใดๆ ทั้งสิ้น อย่างเช่น น้ำส้ม หรือน้ำฝรั่ง ที่คั้นกันสดๆ หรือบรรจุขวดแช่น้ำแข็งขาย
๒. น้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ หมายถึง น้ำผลไม้ที่ผลิตขึ้นด้วยวิธีการถนอมอาหาร โดยใส่สารกันบูด หรือสารปรุงแต่งอื่นๆ เพื่อยืดอายุการเก็บให้นานขึ้น ซึ่งน้ำผลไม้ประเภทนี้ก็มีหลายรูปแบบ เช่น
น้ำผลไม้ชนิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ทำจากผลไม้สดที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น ส้ม ฝรั่ง สับปะรด เป็นต้น โดยไม่ เติมกรด หรือน้ำตาล ซึ่งน้ำผลไม้ชนิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นี้จะมีรสชาติใกล้เคียงน้ำผลไม้คั้นสดมากที่สุด
น้ำผลไม้ผสม น้ำผลไม้ประเภทนี้ อาจมีน้ำผลไม้ผสมอยู่มากกว่า ๑ ชนิด และส่วนใหญ่มักจะเติมน้ำตาล สารกันบูด สี และสารปรุงแต่งกลิ่นรสลงไปด้วย โดย ที่มีน้ำผลไม้เป็นส่วนประกอบหลัก ๔๐ เปอร์เซ็นต์ หรือ ๖๐ เปอร์เซ็นต์
น้ำผลไม้ยูเอชที น้ำผลไม้ประเภทนี้ อาจผลิตจากผลไม้สด หรือน้ำผลไม้เข้มข้น (ที่ต้องมาทำให้เจือจาง) ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วบรรจุขวด หรือผนึก กล่องสุญญากาศ เพื่อให้เก็บได้นานวัน
ดื่มน้ำผลไม้ได้ประโยชน์อะไร
ในบรรดาอาหารชนิดต่างๆ ที่เรากิน ผักสด ผลไม้สด จะให้วิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิดแล้ว ถ้าหากแปรรูปมาเป็นน้ำผักหรือน้ำผลไม้ เราจะยังได้รับคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนเท่าเดิม เท่าที่ควรจะได้หรือเปล่า ไปฟังคำตอบจากนักวิชาการด้านอาหารกันค่ะ อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข ๙ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
"คุณค่าของน้ำผลไม้ทั้ง ๒ ชนิด ถ้าเปรียบเทียบคุณค่าจะใกล้เคียงกัน แต่ถ้าเทียบระหว่างผลไม้และน้ำผลไม้ สดๆ ผลไม้สดย่อมดีกว่าน้ำผลไม้ แน่นอน ซึ่งได้วิตามินเต็มที่ เพราะระหว่างที่คั้นผลไม้ อาจจะสัมผัสกับแสงแดด และระหว่างการเก็บจะทำให้ วิตามินและแร่ธาตุบางชนิดสูญหายไป เช่น วิตามินซี หรือวิตามินเอ เมื่อโดนแสงก็สลายไปหมด อีกประการหนึ่ง การที่คนหันมานิยมดื่มน้ำผลไม้ สิ่งที่จะขาดไปคือใยอาหาร ซึ่งคนปัจจุบันกินผักน้อยลงมาก จึงได้ไฟเบอร์หรือใยอาหารน้อย นักโภชนาการเองเคยหวังว่า เมื่อคนกินผักน้อยหรือไม่ชอบกินผัก (จะด้วยเหตุผลว่าผักไม่อร่อย หรือขี้เกียจเคี้ยวก็ตามที) ประชาชนก็น่าจะกินผลไม้ให้มากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าแทนที่จะกินผลไม้สดๆ กลับไปกินน้ำผลไม้แทนเพราะสะดวก สบาย ไม่ต้องเคี้ยว ผลคือ ทำให้ได้ใยอาหารต่ำ
ไฟเบอร์ไม่ใช่สารอาหาร แต่เป็นไฟโตเคมีคอล เป็นสารที่อยู่ในผักและผลไม้ ซึ่งมีคุณสมบัติอมน้ำ แล้วขณะอมน้ำก็เกิดน้ำหนัก ก็เลยไหลผ่านระบบลำไส้ กระเพาะ แล้วขณะที่ไหลมันก็จะไปกวาดเอาน้ำตาล ไขมัน โคเลสเตอรอล หรือสารก่อมะเร็งออกไปจากร่างกายด้วย ฝรั่งจึงกล่าวว่าไฟเบอร์ที่ได้จากผัก ผลไม้ เปรียบประดุจไม้กวาด ที่กวาดเอา สิ่งที่ไม่ดีออกจากร่างกาย ปัจจุบันนักวิชาการให้ความสำคัญกับเรื่องไฟเบอร์มากจริงๆ ก็พูดกันมานาน แต่ไม่เป็นข่าวมากเหมือนทุกวันนี้ และที่เป็นข่าวมากก็เพราะคนทั่วโลกกินผัก ผลไม้น้อยลงอย่างน่าตกใจโดยเฉพาะผัก เมื่อไม่กินผักไม่กินผลไม้ โรคภัยก็ตามมา เพราะฉะนั้นระยะหลังคนจึงเป็นโรคภัยไข้เจ็บกันเยอะมาก"
ควรเลือกดื่มน้ำผลไม้แบบไหน
การดื่มน้ำผลไม้ให้ภาพลักษณ์ที่ดูดี (ว่าเป็นคนที่รักสุขภาพ) ขณะเดียวกันการโฆษณาหรือกล่องสวยๆ ของเครื่องดื่ม ก็มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อไม่น้อย อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ให้คำแนะนำในการเลือกดื่มน้ำผลไม้ให้ได้ประโยชน์ว่า
"พูดถึงน้ำผลไม้ ผมขอรวมเอาน้ำสมุนไพรที่กำลังเห่อกันอย่างน้ำลูกยอ หรือน้ำผักปั่นเข้าไปด้วย สิ่งที่น่าห่วงคือการที่ผู้ขายใส่น้ำตาลจนหวานเจี๊ยบ จนแทบไม่มีกลิ่นหรือมีรสของสมุนไพรเลยจริงๆ แล้วตามความหมายของน้ำสมุนไพร คือ ต้องมีกลิ่นสมุนไพรนำหน้า ไม่ใช่กลิ่นหรือความหวานของน้ำตาลนำหน้า อาจหวานนิดหน่อยปะแล่มๆ น้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรที่หวานจัด น้ำตาลที่สะสมมากๆ นี่แหละ ที่จะเปลี่ยนเป็นไขมันแล้วทำให้อ้วนได้ ข้อเสียของการดื่มน้ำผลไม้ที่หวานจัด คือ เด็กๆ ที่กินหวานมากจะไม่รู้สึกหิวข้าวซึ่งเป็นอาหารหลัก ผลคือ อาจทำให้ขาดสารอาหาร ทำให้เด็กติดรสหวาน ทำให้ฟันผุ ถ้าจะดื่มน้ำผลไม้แทนการดื่มน้ำอัดลมเป็นครั้งคราว หรือวันละ ๑-๓ แก้ว เพื่อดับกระหาย เพื่อความสดชื่นก็สามารถดื่มได้ ถ้าจะให้ดีก็ควรเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่เติมน้ำตาล แต่ถ้าจะดื่มน้ำผลไม้แทนการกินผลไม้ ผมไม่สนับสนุน"
น้ำผลไม้ยูเอชทีเพิ่มวิตามิน
ดังเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า น้ำผลไม้ที่คั้นสดๆ แล้วดื่มทันที จะให้วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะวิตามินซี แต่ถ้าเป็นน้ำผลไม้ที่ผ่านกระบวนการ เช่น น้ำผลไม้บรรจุขวด หรือบรรจุกล่องประเภทยูเอชทีทั้งหลาย แน่นอนว่าวิตามินสำคัญ เช่น วิตามินซี หรือวิตามินเอ สลายไปหมดไม่มีเหลือแล้ว
รู้อย่างนี้ บรรดาผู้ผลิตน้ำผลไม้ประเภทต่างๆ จึงเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ โดยการเติมวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ลงไปเพื่อเสริมส่วนขาด (และเพื่อเป็นการส่งเสริมการขายด้วย) วิตามินที่เติมลงไปในน้ำผลไม้จะ ให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ให้ความรู้ว่า
"โดยหลักการ การเติมสารอาหารลงไป เขาจะเติมให้ได้ปริมาณ ๑ ใน ๓ ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน แต่ต้องยอมรับว่า วิตามินเอ วิตามินซี เมื่อเจอความร้อนจะถูกออกซิไดซ์ (ทำปฏิกิริยากับอากาศ) เพราะฉะนั้นผู้ผลิตส่วนใหญ่ ก็จะเติมวิตามินเหล่านี้ในปริมาณมาก เผื่อการสูญสลายเอาไว้ด้วย หรือบางยี่ห้ออาจใช้วิธีบรรจุเครื่องดื่มในกล่องทึบแสง ซึ่งก็ช่วยให้วิตามินเหล่านั้นคงอยู่ได้ระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าวิตามินที่เติมลงไปจะอยู่ได้ยืนยาวตลอดเวลาจนถึงวันหมดอายุ วิตามินที่เติมลงไปในน้ำผลไม้ อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับสารอาหารบ้างแต่ไม่มาก ไม่อยากให้ประชาชนผู้บริโภค ตื่นกระแสน้ำผลไม้ที่เติมวิตามิน แล้วอุปาทานเหมือนกับว่าดื่มน้ำผลไม้แล้วได้รับประโยชน์มากมาย โดยไม่กินผักและผลไม้ ซึ่งจะทดแทนกันไม่ได้
ผมอยากบอกว่า การกินผลไม้ทุกชนิดโดยตรง แล้วดื่มน้ำเปล่าๆ จะได้ประโยชน์กว่าการดื่มน้ำผลไม้ ยกตัวอย่าง เช่น กินส้ม ๑ ผล กินน้ำส้มคั้น ๑ แก้ว (ที่คั้นสดๆ) ที่หากทิ้งไว้ไม่นาน ก็อาจมีวิตามินซีอยู่บ้าง มีไฟเบอร์เล็กน้อย นอกนั้นก็เป็นน้ำ เป็นน้ำตาล ส่วนธาตุอาหารอย่างอื่นเรียกว่ามีอยู่น้อยมาก แต่ถ้าเรากินผลไม้สด กินส้ม ๑ ผล ขณะที่ปอกเปลือกแล้วกินทันที เราจะได้วิตามินซีแบบเต็มๆ และได้วิตามินอื่นๆ เช่น วิตามินเอ หรือบีตาแคโรทีน เรียกว่า มีประโยชน์มากกว่ากันแน่นอน"
เลือกซื้อ เลือกดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์
น้ำผลไม้ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ (กว่าน้ำอัดลม หรือชา กาแฟ) นี้ หากเลือกไม่เป็น หรือซื้อแบบไม่เลือกเลย ก็อาจไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร และบาง กรณีก็อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้ คำแนะนำต่อไปนี้จากนักโภชนาการ อาจเป็นคำแนะนำสามัญธรรมดาที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่นำไปปฏิบัติจริง ก็ไม่มีประโยชน์ต่อการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวันเลย
ครั้งต่อไปหากจะซื้อน้ำผลไม้มาดื่ม ก็ควรจะพิถีพิถันกันสักหน่อย ถ้าเป็นน้ำผลไม้เข้มข้น ก็ต้องทำให้เจือจางก่อน แล้วน้ำที่จะมาทำให้เจือจางนั้น ควรต้องเป็นน้ำต้มสุกที่สะอาด ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดอาการท้องเดินได้ น้ำผลไม้ที่ใส่น้ำแข็ง ก็ควรจะพิถีพิถันในการเลือกซื้อสักหน่อย เพราะบางทีน้ำผลไม้ทำมาสะอาด แล้วใส่น้ำแข็งที่สกปรก ก็ท้องเสียได้ง่ายเช่นกัน เพราะน้ำผลไม้เองก็ง่ายต่อการทำให้ เกิดการบูดเน่าอยู่แล้ว การเลือกซื้อน้ำผลไม้บรรจุกล่องนั้น ก่อนซื้อควรอ่านฉลากทุกครั้ง เพราะผู้บริโภคจะทราบว่า น้ำผลไม้ชนิดนั้นมีปริมาณน้ำตาลอยู่เท่าไหร่ มีสารกันบูดหรือไม่ (การบริโภคสารกันบูดบ่อยๆ ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน) วันหมดอายุของสินค้าเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องดูทุกครั้ง โดยเฉพาะน้ำผลไม้ หากหมดอายุแล้วดื่มเข้าไป จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะร้านค้าบางแห่งหรือบางห้าง มักจะนำสินค้าที่ใกล้หมดอายุมาวางปะปนกัน ถ้าผู้ซื้อดูไม่ละเอียดรอบคอบก็อาจได้สินค้าที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์มาดื่มกิน จะให้ดีที่สุด ควรคั้นเองสดๆ แล้วดื่มทันที นั่นล่ะประโยชน์เต็มร้อย ข้อสำคัญต้องเพิ่มความขยันให้กับตัวเองอีกสักหน่อย แล้วคุณจะรู้สึกได้ถึงพลังความสดชื่นที่แท้จริง
ข้อมูล : facebook นิตยสารหมอชาวบ้าน

นมถั่วเหลือง กับ นมวัว แตกต่างกันอย่างไร?

 กับ นมวัว ขึ้นชื่อว่าเป็นนมเหมือนกัน แต่กรรมวิธีที่มาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หลายคนคงยังมีข้อสงสัยกับนมวัวและนมถั่วเหลืองว่า นมขนิดใดให้ประโยชน์มากกว่ากัน บอกได้เลยว่านมทั้งสองชนิดมีประโยชน์ทั้งหมด แต่ประโยชน์จะแตกต่างกันอย่างไรแค่นั้นเอง

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เผยที่มา′สะระแหน่′ผักต่างแดนโอนสัญชาติเปลี่ยนชื่อเป็นไทย ใครเคยรู้บ้าง

ในบรรดาผักชนิดต่างๆ ที่ชาวไทยรู้จักและคุ้นเคยอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น มีอยู่หลายชนิดที่คนไทยส่วนใหญ่คิดว่าเป็นผักพื้นบ้านดั้งเดิมและมีกำเนิดอยู่ในประเทศไทยแต่ความจริงเป็นผักที่นำเข้ามาจากต่างประเทศนานมาแล้วบ้างหรือเพิ่งนำเข้ามาไม่นานนักบ้างแต่การนำเข้ามานั้นกระทำอย่างไม่เป็นทางการหรือไม่มีบันทึกเป็นหลักฐานเอาไว้อย่างชัดเจน จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้น ผักบางชนิดได้รับการตั้งชื่อที่บ่งบอกว่ามาจากต่างประเทศ เช่น มะเขือเทศและผักโขมจีน เป็นต้น แต่ยังมีผักจากต่างประเทศอีกหลายชนิดไม่มีชื่อบ่งบอกว่ามาจากต่างแดน เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว กระเทียม เป็นต้น รวมทั้งผักที่นิยมปลูกเป็นสวนครัวด้วย เช่น ผักที่คนไทยเรียกว่า 


สะระแหน่ : ชื่อไทยของผักจากต่างแดน
จากคำบอกเล่าของศาตราจารย์อินทรี จันทรสถิต ผ่าน ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา บอกว่า สะระแหน่ถูกนำเข้ามาในเมืองไทยช่วงรัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่๓) โดยชาวอิตาเลียนชื่อนายสะระนี สันนิษฐานว่าชื่อสะระแหน่มาจากชื่อนายสะระนีนั่นเอง
ประวัติสะระแหน่ตามคำบอกเล่าของศาตราจารย์อินทรีจันทรสถิตดังกล่าวนี้ น่าจะใกล้เคียงความจริงมากพอสมควรเพราะเมื่อตรวจดูหนังสืออักขราภิธานศรับท์ พ.ศ.๒๔๑๖ ของหมอปลัดเล ซึ่งเป็นช่วงรัชกาลที่ ๔ ปรากฏว่าไม่พบชื่อสะระแหน่เลยแสดงว่าขณะนั้น (๒๔๑๖) สะระแหน่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ซึ่งอาจเป็นเพราะสะระแหน่ยังไม่เข้ามาในเมืองไทยหรือเพิ่งเข้ามาไม่นานก็เป็นได้
สะระแหน่เป็นพืชในวงศ์Labiataeเช่นเดียวกับ กะเพรา โหระพา และแมงลักแต่อยู่ในสกุล (Genus) มินต์ (Mint) ซึ่งมีอยู่หลายชนิดและเป็นพืชที่แพร่หลายในเขตอบอุ่นเพราะเป็นพืชที่มีน้ำมันหอมระเหย อันประกอบด้วยสารเมนธอล (Menthol) อยู่สูง
สะระแหน่ มีชื่อวิทยาศาสตร์ยังไม่เป็นที่ตกลงกันแน่ชัด เดิมใช้ว่า Mentha aruensis Linn แต่ผู้รู้บางท่านแย้งว่า M.aruensis เป็นชื่อของมินต์ญี่ปุ่นที่แตกต่างจากสะระแหน่มาก ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานใช้ชื่อ Mentha cordifolia Opis บ้างก็ใช้ Mentha virdis, Mentha spicata var crispa, Mentha crispa และ Mentha candifolia varcrispa เป็นต้น ในบรรดาชื่อเหล่านี้ผู้เขียนไม่สามารถตัดสินได้ว่าชื่อใดเป็นชื่อที่แท้จริงของสะระแหน่ ดังนั้นหากผู้อ่านท่านใดทราบก็ขอได้แจ้งมาให้ผู้เขียนรู้บ้างเพื่อเป็นวิทยาทานและเผยแพร่สู่ผู้อ่านท่านอื่นต่อไป
สะระแหน่เป็นพืชล้มลุกลำต้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมเลื้อยไปบนดินหรือใต้ดินขยายกิ่งก้านสาขาออกไปโดยใช้ไหลหรือลำต้นใต้ดิน ใบรูปกลม ขอบใบหยัก ไม่มีขน ดอกเกิดบนช่อดอก กลีบดอกสีขาว ปกติสะระแหน่ในประเทศไทยไม่ค่อยออกดอก แต่เราสามารถกระตุ้นให้ออกดอกได้โดยเปิดไฟให้สะระแหน่ได้รับแสงวันละไม่ต่ำกว่า ๑๖ ชั่วโมง ติดต่อกันประมาณ ๓๐ วัน
ชื่อภาษาอังกฤษของสะระแหน่ คือ Kitchen Mint ภาษาไทยภาคกลาง คือ สะระแหน่ หรือสะระแหน่สวน ภาคเหนือและอีสานเรียก หอมค่อน ส่วนภาคใต้เรียก สะแน่
สะระแหน่เป็นพืชขนาดเล็กที่มีรูปทรงและสีสันงดงาม แปลกตาและมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว จึงใช้เป็นไม้ประดับได้ดี ไม่ว่าจะปลูกในกระถางหรือปลูกเป็นแปลงประดับสวนหย่อม นอกจากนี้ยังปลูกเป็นไม้แขวนได้ดี เพราะมีกิ่งที่ทั้งดั้งขึ้นและห้อยลง ปรับตัวเข้ากับสภาพแสงได้ ทั้งกลางแจ้งและร่มรำไร มีเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับสะระแหน่ที่ยังไม่ทราบความเป็นมาคือ คนไทยมักมีคำพูดล้อเลียนเจ้าของรถยนต์เก่าที่มีสภาพทรุดโทรมหรือผุพังว่า น่าจะนำรถยนต์คันนั้นไปใช้ปลูกสะระแหน่ ผู้เขียนยังนึกไม่ออกว่า ทำไมจะต้องนำไปปลูกสะระแหน่โดยเฉพาะ หรือว่ามีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถเก่าสำหรับปลูกสะระแหน่ ฯลฯ ผู้เขียนได้ยินคำกล่าวนี้มานานแล้ว และปัจจุบันก็ยังได้ยินอยู่เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะเจ้าของรถยนต์เก่าๆ) ก็คงได้ยินเช่นเดียวกัน หากผู้อ่านท่านใดทราบความเป็นมาของเรื่องนี้แล้วช่วยบอกมาเป็นวิทยาทานอีกเรื่องหนึ่ง ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
มีความเชื่อที่ไม่ค่อยถูกต้องเกี่ยวกับสะระแหน่บางประการในหมู่ชาวไทยเช่นเชื่อว่าสะระแหน่เป็นพืชปลูกยากบ้าง สะระแหน่ไม่ชอบผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือนบ้าง ความจริงสะระแหน่พันธุ์ที่ปลูกกันอยู่นี้เข้ามาอยู่เมืองไทยกว่าร้อยปีแล้ว จึงปรับตัวเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศเมืองไทยได้ดีพอสมควร หากผู้ปลูกเข้าใจธรรมชาติหรือนิสัยของสะระแหน่แล้วจะปลูกสะระแหน่ให้งามได้ไม่ยากเลย สำหรับผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือนนั้นก็มิได้เป็นอันตรายต่อสะระแหน่แต่อย่างใด ในขณะเดียวกับผู้ชาย (ที่มี่ประจำเดือน)ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะปลูกสะระแหน่ได้ดีกว่าผู้หญิงเลย แม้สะระแหน่จะได้ชื่อมาจากผู้ชาย (ฝรั่ง) ก็ตาม
สะระแหน่ในฐานะผักไทย
คนไทยรู้จักสะระแหน่ในฐานะเครื่องปรุงกลิ่นอาหารมากกว่าในฐานะผักโดยตรงเพราะสะระแหน่มีกลิ่นรสฉุนเผ็ดกว่าผักทั่วไปจึงใช้กินเป็นผักโดยตรงไม่มากเท่าการใช้ปรุงอาหารเพื่อดับกลิ่นหรือเพิ่มรสชาติของอาหารรสจัดที่เรียกกันว่าอาหารรสแซ่บอาหารที่ใช้สะระแหน่กินเป็นผักโดยตรงที่นิยมกันดีก็มีเพียงใช้เป็นผักแกล้มลาบและกินกับขนมจีนน้ำยา ปลาร้าเท่านั้น ส่วนการใช้ปรุงกลิ่นรสอาหารหรือดับกลิ่นคาวนั้นใช้กันมาก เช่น ดับกลิ่นคาวเนื้อหรือปลา กับข้าวจำพวกยำต่างๆ เช่น ยำกบย่าง ยำสามสหาย ยำหอยแครง ยำหอยแมลงภู่ ยำปลากระป๋อง ยำหนังหมู ยำไก่ย่าง ยำไข่ต้ม ยำผ้าขี้ริ้ว ยำเนื้อมะเขือเปราะ ยำแหนม ฯลฯ ลาบต่างๆ เช่น ลาบหมู ลาบเลือดเป็ด ลาบปลาดุก ลาบเลือด (ซกเล็ก) เป็นต้น จำพวกซุป เช่น ซุปมะเขือ ซุปขนุนอ่อน ซุปหน่อไม้ นอกจากนี้ยังมี พล่ากุ้ง เมี่ยงสด น้ำพริกมะเขือยาว และ ไก่ต้มยำ ฯลฯ

สมุนไพร
แม้สะระแหน่จะเพิ่งเข้ามาในเมืองไทยได้ไม่ถึง ๒๐๐ ปี แต่แพทย์แผนไทย (บางท่านเรียกแพทย์แผนโบราณ) ที่นำเอาสะระแหน่มาปรุงเป็นยารักษาโรคได้หลายขนาน โดยระบุสรรพคุณว่า กลิ่นฉุนหอมร้อน สรรพคุณ แก้ปวดท้อง แก้จุกเสียด ขับผายลม แก้แน่น แก้ไอ ขับเสมหะ ขยี้ทาขมับ แก้ปวดศีรษะ ดมแก้ลม ทาแก้ฟกบวม ฯลฯ
นอกจากนี้ยังใช้เป็นกระสายแทรกแก้โรคเด็ก เช่น ทรางชัก และช่วยให้ผายลมได้ดี ลดอาการท้องขึ้น ท้องเฟ้อ นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า สะระแหน่มีตัวยาบีบมดลูก อาจช่วยให้พัฒนายาทำแท้งจากพืชสำหรับมนุษย์ได้ในอนาคต

ประโยชน์ด้านอื่นๆ
สะระแหน่มีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก สามารถสกัดออกมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมยา เป็นต้น เนื่องจากสะระแหน่เป็นพืชในสกุลมินต์ จึงมีกลิ่นคล้ายเมนทอล อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของลูกอมประเภทรสเย็นทั้งหลาย แม้สะระแหน่ไทยจะมีส่วนประกอบของเมนทอลอยู่ในน้ำมันหอมระเหยน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับมินต์ชนิดอื่นๆ แต่สะระแหน่ก็มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ดีเด่นไม่แพ้มินต์ชนิดใด อนาคตคงมีการพัฒนานำเอากลิ่นสะระแหน่ไปใช้ประโยชน์แก่มนุษย์ได้กว้างขวางยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามความก้าวหน้าของวิทยาการ และความนิยมผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น
ที่มา : facebook มูลนิธิหมอชาวบ้าน

คราบหินปูน 9 อันตรายที่คนมองข้าม

การดูแลความสวยงามของฟัน แสดงให้เห็นถึงความมีจิตสำนึกหรือความเอาใจใส่ในสุขภาพของร่างกายและปรารถนาจะเป็นที่รักของทุกๆคน

ในแต่ละวัน ก่อน-หลังแปรงฟัน คุณเคยสังเกตุหรือไม่ว่า มีคราบขาวออกเหลืองหรือสีครีมที่เกาะที่ฟันบ้างหรือเปล่า เพราะหากทิ้งไว้นาน คราบเหล่านั้นจะเกาะติดแน่น ไม่สามารถเอาออกโดยการแปรงฟัน นี่แหละที่เรียกว่าหินปูน

หินปูนเกิดจากอะไร?
เกิดจากคราบน้ำลาย เชื้อโรคต่างๆ สะสมและตกตะกอน การแปรงฟันหรือบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากก็ไม่สามารถกำจัดจุลินทรีย์พวกนี้ได้นะครับ เพราะฉะนั้นหลายๆคนต้องกำจัดหินปูนโดยการเข้าพบทันตแพทย์ เพื่อให้หมอฟันขูดหินปูนออกให้
ส่วนมากแล้วคราบหินปูนจะเกิดปริเวณซอกฟันระหว่างฟัน หรือเกิดที่โคนของฟันทุกซี่ได้ทั้งปากไม่เว้นแม้กระทั้งฟันปลอม ส่วนมากเกิดในซอกฟันด้านในเพราะฟันด้านหน้าเราแปรงฟันได้ถนัดทำให้ทำความสะอาดได้ดีกว่าซอกฟันด้านใน หากใครลองเอากระจกส่องฟันมากส่องดูอาจจะต้องตกใจกับหินปูนของเราเลยก็ได้
อันตรายจากหินปูน
1.ทำให้เลือดออกขณะแปรงฟัน เพราะบางคนอาจจะคิดว่ามีเศษอาหารติดซอกฟันทำให้พยายามแปรงฟันแรงๆ แต่หินปูนไม่สามารถใช้แปรงสีฟันเอาออกได้ จึงอาจจะเกิดการใช้แรงกดเกินไปจนเลือดออก
2. เหงือกบวม สืบเนื่องจากการแปรงฟันโดยเน้นแรงกดอาจจะทำให้เลือดออกแล้วเหงือกยังบวมอักเสบ หรือเป็นแผลซึ่งทำให้ยุ่งยากและทรมานกับการกินอาหารได้ครับ
3. ฟันเหลืองสุดๆ เนื่องจากเป็นแคลเซียมและจุลินทรีย์มาเคลือบผิวฟัน จึงเกิดการตกตะกอนเป็นสีเหลืองทำให้เสียบุคลิกภาพ
4. มีกลิ่นปาก เพราะคราบหินปูนก็มีแบคทีเรียจากขี้ฟันที่ทำให้มีกลิ่นปาก
5. เหงือกร่น เพราะหินปูนหากเกาะตัวกันใหญ่มากๆมันก็จะดันลงข้างล่าง ดันเหงือกของเราให้ถอยตัวลงไป
6.ฟันโยก ฟันเห่าง ถ้าหินปูนดันเหงือกลงมากๆ แล้วก็จะทำให้เหงือกยึดฟันได้น้อยเวลาเคี้ยวอาหารก็มีโอกาสเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่ฟันจะโยก และถ้าหินปูนใหญ่ขึ้นก็จะดันฟันข้างๆได้ทำให้ฟันห่างกัน
7. ฟันผุ เชื้อจุลินทรีย์ที่ย่อยอาหารแล้วปล่อยสารที่เป็นกรดออกมา จะกัดกร่อนผิวเคลือบฟันให้เป็นร่อง เป็นอย่างต่อเนื่องนานๆ จะทำให้ผิวฟันเป็นรู ซึ่งเรียกว่าฟันผุ
8. เหงือกอักเสบ เชื้อจุลินทรีย์บางจำพวก จะปล่อยสารพิษออกมาทำลายเยื่อเหงือก ทำให้เกิดเหงือกอักเสบ
9. โรคปริทนต์ คราบหินปูนถ้าเป็นอย่างต่อเนื่องนานๆ เกิดเป็นโรคปริทนต์ได้ เพราะแผ่นคราบจุลินทรีย์ที่เกาะบนหินปูน จะกำจัดได้ยากกว่าบนผิวฟัน ดังนี้ถ้าต้องการกำจัดแผ่นคราบจุลินทรีย์ให้หมดต้องกำจัดหินปูนออกก่อน
กำจัดหินปูนอย่างไร
วิธีการกำจัดหินปูนออกจากฟันของเราได้มีประสิทธิภาพและได้ผลแน่นอนที่สุดก็คือ "ขูดหินปูน" โดยทันตแพทย์ เพราะหินปูนไม่สามารถใช้แปรงสีฟันแปรงออกได้ และห้ามนำไม้หรือของแข็งมาแถะหินปูนเด็ดขาดผมเคยลองมาแล้วนอกจากหินปูนไม่ออกยังทำให้เลือดไหลตามไรฟันที่หินปูนขึ้น แถมเสียวฟันอีกต่างหาก
เนื่องจากการดูแลฟันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การขูดหินปูนจึงมีระยะเวลาความถี่ที่แตกต่างกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้วควรพบทันตแพทย์อย่างน้อย 6 เดือนต่อ 1 ครั้ง เพื่อทำการขูดหินปูน แต่สำหรับบางคนที่ดูแลฟัน แปรงฟันถูกวิธี ทันตแพทย์ก็จะแนะนำเวลาที่จะต้องขูดหินปูนในนัดครั้งต่อไป
วิธีป้องกัน การเกิดหินปูน
จะป้องกันไม่ให้เกิดหินปูนขึ้นอีกเลยในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ แต่การมีหินปูนมิใช่การเป็นโรค ก็คล้ายๆ กับการเกิดมีขี้ฟันที่เกาะที่ตัวฟันหลังกินอาหาร ถ้าไม่กินก็คงจะไม่เกิด แต่จริงๆ แล้วแม้ไม่กินอาหารก็มีคราบของโปรตีนในน้ำลายไปเกาะที่ผิวฟันอยู่ดี เพียงแต่เรามองไม่เห็น และไม่เป็นอันตรายต่อฟัน
ดังนั้นที่จะทำได้คือ การทำความสะอาดฟันให้สะอาดทั่วทั้งปากทุกๆ วัน ก็จะทำให้เกิดหินปูนช้าลงหรือน้อยลง
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการพัฒนาการเพิ่มสารบางอย่างในยาสีฟันเพื่อลดการเกาะตัวของสารประกอบแคลเซียม ดังนั้นในระยะยาวก็อาจมีผลที่เห็นได้ชัดเจน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า อาจลดการเกิดหินปูนในประชากรได้ร้อยละ 5-10
ขอขอบคุณข้อมูล จาก www.emaginfo.com